Hello world!

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

Posted in Uncategorized | 1 Comment

แวะมาเยือนบ้านเก่า…แต่ก็ยังไม่ย้ายกลับนะ

ยิ้มแฉ่ง มันเป็นเวลานานแสนนาน น้าน….. นาน มาแล้ว ที่อิฉันไม่ได้อัพเดต msn space เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เมื่อก่อนจะต้องอัพแทบทุกๆ วันเพราะใช้หน้าจอเป็นประดุจหน้ากระดาษสมุดไดอารี่ (ที่บัดนี้รกร้าง ว่างเปล่าจนใยแมงมุมแทบจะขึ้น มิแปลกใจถ้าลายมือจะห่วยลงเพราะไม่ได้ฝึกฝน สงสัยจะต้องกลับไปหัดคัดไทยตามเส้นประเหมือนเด็กๆ เสียแล้ว) วันนี้ฤกษ์งามยามดี แวะเวียนมาเยี่ยมบ้านเก่า เพราะหลังจากโทรศัพท์กลับบ้านเมื่อครั้งก่อน ท่านแม่ได้เอ่ยขึ้นมาตอนหนึ่งในบทสนทนา ว่ามีเด็กๆ ถามหา ทำให้นึกขึ้นมาได้…ว่าอย่างน้อยในสมัยก่อนยังได้เล่าข่าวคราว ชีวิตความเป็นไปผ่านสเปศแห่งนี้ อย่างน้อยเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก็ยังมีโอกาสรู้ว่าตัวอิฉันกำลังร้อนหรือหนาว หรือบ้าบอ หรือท้อแท้
 
ถึงพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน msn ที่เคยแวะมาอ่านสเปศของอิฉันอยู่เนืองๆ อิฉันขออัพเดตชีวิตเป็น bullet points สั้นๆ กล่าวถึงชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมาดังต่อไปนี้นะคะ
 
มันไม่ได้ร้ายแรง มันไม่ได้วิกฤต แต่มันแค่สูบเอาเวลาและอารมณ์อันสุนทรีย์ในการอัพบล็อกออกไปพอสมควร (หากไม่นับปัจจับที่ว่า การเปลี่ยนเป็น Live Space ทำให้คอมอิฉันแฮงก์ๆ ป่วงๆ โหลดช้า) 
 
– ปลายปี 2006 กำลังอยู่ในช่วงที่เรยกว่า’เริงปอย’ มีสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ คอร์สเรียนใหม่ ร่าเริง ลัลล้ามากๆ ตอนนั้นค่อนข้างจะอัพบล็อกค่อนข้างบ่อย เพราะยังไม่สำเหนียกตัว ว่าหายนะทางการศึกษากำลังคืบคลานเข้ามา
 
– ต้นปี 2007 หลังจากเพิ่งกลับมาจากสวิตเซอร์แลนด์ คะแนน assessment ตัวแรกก็เพิ่งออก กรี๊ดดดดดดดดด ต่ำได้อีก ถ้าคะแนนคงตัวขนาดนี้ทั้งปี มีหวังขอต่อเอกไม่ได้กันพอดี กรี๊ดด กรี๊ดดด กรี๊ดดดดด อนาคตหนู……
 
– อาจารย์ที่ปรึกษาที่เทอมก่อนลาพักกลับมาสอนแล้ว งานหนักกว่าเดิมอีก ไม่เคยเรียน 9 โมง – 5 โมงมาตั้งแต่เข้าป.ตรี ปีนี้ก็ต้องกลับมาเผชิญชีวิตเยี่ยงนั้น
 
– ทำ formative assessment ตัวถัดไป คะแนนออกมา กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด… (ด. เด็ก 111 ตัว) ต่ำลงไปอีก ทำไมนะ ทำไม…
 
– ประมาณเดือน 3 เดือน 4 ของปี 2007 ก็ไม่ค่อยออกไปไหน กลับบ้านก็ไม่บอกใคร เก็บเนื้อเก็บตัว เข้าห้องสมุดยามดึก เครียด อารมณ์ไม่ดี วิทยานิพนธ์ก็ต้องทำ มีปัญหากับเจ้าของสถานที่ที่จะไปเก็บข้อมูลอีก ไปทีไรเจอสายตาและคำพูดที่…ไม่อยากบรรยาย เดี๋ยวจะเผลอคิดว่าตัวเองเป็นพจมานในบ้านทรายทองไปจริงๆ  ทำเรื่องต่อทุนไม่ได้เสียทีเพราะขอ reference จากอาจารย์มาแล้ว 3 ชาติแต่ก็ยังไม่มีใครเขียนให้ proposal ที่เสนอไปอาจารย์ก็บอกว่า…เอาไปทบทวนมาใหม่ ต้องอ่านเพิ่มเติมมากมาย งานเก็บคะแนนก็กำลังจะมาถึงอีก 5000 คำ เหลือเวลาเท่าไหร่เนี่ย ทำไมมันฉุกละหุกแบบนี้ คะแนนรวมจะถึง 60% มั้ย โฮ…ไม่เคยคิดว่าจะต้องเผชิญชะตากรรมเยี่ยงนี้ คาบลูกคาบดอกมาก สถานที่ที่ไปฝึกงานก็ใช้เอาๆ คะแนนก็ไม่มีให้ แถมยังแย่งเวลาทำงานที่เก็บคะแนนเราไปอีก (และอื่นๆ อีกมากมาย )
 
– พยายามทำ summative assessment อย่างสุดฝีมือ คะแนนออกมา เออ…ค่อยยังชั่ว แต่ก็ยังต้องลุ้นตัวต่อไป
 
– เดือน 5/2007 เหมือนยกภูเขาออกจากอก คะแนน presentation ดีมากกกกก ไม่เคยสัมผัสอะไรที่เกินระดับ distinction มานานแล้ว (แต่ดันเก็บแค่ 10% เอง = =’)  เอาเถอะ…อย่างน้อยมันก็ช่วยผลักดันค่าเฉลี่ย ให้มาอยู่ในระยะปลอดภัย นี่ถ้ารักษาระดับ dissertation ให้อยู่ในเกณฑ์นี้ต่อไป ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
 
– เดือน 6 หมดภาระด้านชั่วโมงเรียนมหาโหดแล้ว มีแต่เรื่องการต่อทุนและการทำวิทยานิพนธ์ซึ่งยาว 20,000 คำ และอาจารย์ต้องการให้เสร็จดราฟต์แรกภายในสัปดาห์ที่ 3 เดือนกรกฎาคม นั่นแปลว่าเรามีเวลาประมาณ 50 วัน
 
– ปั่นสิคะ…เวลาเดือนกว่าๆ นี่ต้องทั้งอ่าน ทั้งเก็บข้อมูล ทั้งเขียนนะเนี่ย AF ก็เริ่มแล้ว นัทเพื่อนเก่าผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้าย ก็ดูๆ เสียหน่อย แต่คงไม่ติดหรอกนะ รายการอะไรไม่รู้ หลอกให้คนเสียเงินโหวต
 
– เดือน 7 หลังจากวีค 3 ก็ส่งงานล็อตแรกไป ได้แก้ไขเพียบ อาจารย์โบยบินไปขุดที่ฝรั่งเศสแล้ว เลยว่างขึ้นหน่อย มีเวลาดู AF เต็มที่ ก็สนุกดีนะรายการนี้ เวลาผ่านไปแล้วกว่าหนึ่งเดือน นัทยังอยู่ในบ้านก็เลยดูต่อไป แต่ไม่ติดจริงๆ นะคะ ไม่ได้ติด
 
– เดือน 8 ติด AF งอมแงม ฮือออ ฮืออออ ฮืออออ ตื่นก่อนนอนทีหลังนักล่าฝันทุกวันเลย ขอบตาเริ่มดำคล้าเหมือนหมีแพนด้า นน. ขึ้นหลายโล เพราะอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่ได้ออกแรงที่ไหน วันๆ นั่งแต่หน้าจอคอม ที่สำคัญก็คือ…ยังไม่ได้แก้ไข dissert เลย…เอาไว้ก่อน ส่งตั้งต้นเดือนกันยาแน่ะ ระหว่างนี้ก็หาวิธีโหวตให้ V1 ทางเนตไปพลางๆ เปล่านะ เราไมได้โดนหลอกนะ เราแค่ทำเพื่อความสบายใจของเรา (= =’ อ้างไปโน่น)  แต่เอ๊ะ หาาา อะไรนะ ส่งวิทยานิพนธ์ตอนต้นเดือนกันยาเหรอ กรี๊ดดดด ต้องรีบแล้วสิ
 
– เดือน 9 ในที่สุดกก็เคลียร์เรื่องต่อทุน เรื่องสมัครเอกกับทางมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว ขอพักสัก 2-3 เดือน บินกลับเมืองไทย
 
– 3 เดือนที่ดูเหมือนจะว่าง แต่ก็ยังหายไป เป็นเพราะญาติผู้ใหญ่ไม่ค่อยสบาย เลยไปเฝ้า ตอนนั้นเครียดกันมาก แต่ก็ผ่านมาด้วยดี
 
– ปี 2008 กลับมาเรียนต่อเอกที่เดิม แต่ก็คงจะหายหน้าหายตาต่อไป เพราะว่ามีอะไรให้อ่านเยอะมาก และอาจารย์ที่ปรึกษา (คนเดิม) ก็เป็นคนทีมีความกระตือรือร้นสูงส่ง อยากให้ 1 วันมี 36 ชม. จริงๆ
 
– ถ้าคิดถึง แวะเวียนไปหาที่ http://fahpraifon.multiply.com นะจ๊ะ ที่นั่นอัพเดตเป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าจะเขียนคนละลักษณะกับที่เคยเขียนที่นี่ก็ตาม
 
P.S. นิยายน่ะ ยังไม่ได้เขียนเลย T-T ขอหยุดไปจนกว่าโปรเจ็คป.เอกจะลงตัวและรู้ทิศทางมากขึ้น เวลาที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมากๆ จินตนาการมันหายไปโดยไม่รู้ตัว ช่วงนี้ต้องฝังตัวกับการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมมากหน่อย 
 
 
โชคดีค่า เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกๆ คน
Posted in Uncategorized | 1 Comment

ย้ายบ้าน

สวัสดีค่ะ ทุกๆ คน
ช่วงนี้อาจจะดูเหมือนยิ้มตัวดีมันไม่ค่อยจะอัพบลอกเลยยยยยย
แหะๆ งานโหมนั่นก็ส่วนหนึ่งแหละค่ะ โหย…เครียดลึกๆ เหมือนกันนะ
แต่ก็นั่นแหละ สิ่งใดที่ต้องทำ มันก็ต้องทำ เลี่ยงไม่ได้
ก็รู้สึกเพื่อนๆ จะยุ่งกันหลายคน
ก็สู้กันต่อไปนะ
ใจหนึ่งก็อยากเรียนต่อเอกอยู่ เพื่ออนาคต
อีกใจ…อยากได้งานที่บ้านจริงๆ จะได้กลับ
ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเรียนต่อ
 
แต่อย่าให้มีที่ทำงานที่ถูกใจโผล่มาเชียวนา เปลี่ยนใจทันทีเลย
 
อีกสาเหตุที่อัพบลอกไม่บ่อยก็คือ…ช่วงหลังๆ space ที่นีมันแฮงก์บ่อยค่ะ
เข้าทีไรก็ not responding (พอๆ กะ Bloggang เลย)
ตอนนี้ส่วนมาก็เลยอัพไว้ที่เดียวค่ะ ที่ http://fahpraifon.multiply.com
ก็ขอเชิญแวะเวียนไปด้วยนะคะ พอดีมันเม้นต์ไม่ได้ถ้าไม่ใช่สมาชิก ลำบากหน่อย
แต่พอว่างๆ มีเวลาทำนานๆ จะกลับมาอัพ my space ค่ะ
ตอนนี้จะอัพแต่ละทีเดี๋ยวค้าง เดี๋ยวแฮงก์ไปเลย ขี้เกียจรอ
ไปละค่ะ แล้วเจอกันเมื่องานจางลง
Posted in Life | 5 Comments

กึ่งฝันกึ่งจริง

ทำไมหนังสือที่ห้องสมุด York มันยืมได้ยากเย็นเยี่ยงนี้นะ
ขนาด request ไปแล้ว เลยกำหนดส่งคืนมาแล้วตั้งอาทิตย์นึง คนที่ยืมก่อนหน้ามัน เอ๊ย เค้าก็ยังไม่เอามาคืน
ใจคอ…จะไม่สงสารคนที่รอเลยหรือไง รู้แล้วว่าค่าปรับมันถูกกว่าซื้อหนังสือเองอีก (4 เล่ม ปกแข็ง560 กว่าๆ โอยยย แพงจัดๆ)
แต่มนุษยธรรมน่ะ มีมั่งมั้ย ฮือๆ ๆ ๆ
เด็กน้อยคนนึงกำลังจะตาย เพาะ Deadline ที่วิ่งเขามาในอีกไม่กี่วัน
 
วันนี้ฟ้ามันก็สีฟ้านะ
แต่โอ๊ย…สว่างเกินไป แสบตาจัง
 
ด้วยความเครียดเพราะนึกอะไรไม่ออก ไอเดียที่พอมีลางๆ
เลือนลางมากจนมองไม่ออกว่าจะมุ่งไปทางไหนเลย
คิดมากก็เริ่มวิงเวียน คลื่นเหียน
(จริงๆ อาจจะเพราะคิดไม่ออก เดินไปเดินมา…นั่งๆ ลุกๆ ก้มๆ เงยๆ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน)
ก็เลยหนีไปนอน…หมายจะงีบซักงีบ…
ในช่วงจังหวะที่เคลิ้ม
ความคิดเริ่มเรียงตัว
(คล้ายๆ กะข้าวเรียงเม็ดมั้ง)
 
ก็เคลิ้มไปแล้วล่ะ แต่จิตใต้สำนึกมันคงกำลังคิดอยู่…ทันใดนั้นก็มีคำปรากฏขึ้นมา 3 คำ
เฮ้ยยยยย ฟังดูใช้ได้ดีนี่นา น่าจะเอามาใช้เสียเลย
แล้วเราก็ลืมตาโพลง….ตะเกียกตะกายลุกขึ้น พรวดพราด คว้าเอากระดาษเปล่าและปากกามาจดคำ 2-3 คำที่นึกได้นั้น
 
หลังจากนั้นก็หลับไปอีก 5 นาที
แล้วก็ต้องลุกพรวดขึ้นมาอีก เขียนประเด็นรองที่เริ่มผุดออกมา
 
สาธุ…ขอให้ไอเดียนี้ใช้ได้ด้วยเทอญ หรืออย่างน้อยก็ขอให้นำไปปรับปรุงแก้ไขได้…อย่างน้อยจะได้มีโครงอยู่แล้ว
 
อา…กำลังใจเริ่มมาละ
ขอบคุณ York Minster ที่เป็นเหมือนสถานหลบภัย คิดอะไรไม่ออกก็เข้าไปสงบจิตสงบใจ อธิษฐานในนั้น
 
วันนี้ฟ้ามันก็เป็นสีฟ้าดีนะ…
ดูสดใสดีจังเลย
Posted in Life | 2 Comments

แผล

ใครจะไปคิด…
ว่าแผลเล็กๆ หลายๆ แผลมันก็ทำให้เจ็บได้เหมือนกัน
แผลแบบที่เรียกว่าถ้าเป็นที่เดียวก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่ได้ใส่ใจ
 
เมื่อคืนสะดุ้งตื่นตอนตี 4 ลมหนาวมันแทรกผ่านหน้าต่างเข้ามา ลุกขึ้น เอาหมอนปิดหัวเดี๋ยวจะไม่สบาย
โอย…มือระบม ปวดตุบๆ
 
ทำไมมันมาเจ็บเอาตอนกลางคืน กลางวันใช้งานอยู่มันก็ปกติดี
เช้ามาก็เลยจัดการปิดพลาสเตอร์ซะ
 
เหมือนปัญหาทั้งหลายแหล่ล่ะมั้ง
ปัญหาง่ายๆ ไม่ยอมแก้เสียที…
เก็บไว้ให้พันกันยุ่งๆ อยู่มาวันหนึ่ง โชะ………….
 
ปวดหัวตาย
 
บ่นไร้สาระ แล้วก็ชิ่ง อีกตามเคย หุหุหุ
 
 
 
 
Posted in Life | 2 Comments

ขี้เกียจ

ไม่ได้อัพบลอกมากนานมากกกก
เพราะตกไปอยู่ในโหมดขี้เกียจอีกแล้ว…โหมดขี้เกียจแต่ก็ต้องทำงานอ่ะค่ะ
จากสถิติเก่าๆ ช่วงที่ข้าพเจ้าจะดาวน์ๆ บ่อยๆ คือช่วงเดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ นั่นเอง
เป็นช่วงที่ยุ่งมากกกกก แล้วเวลาก็จะผ่านไปเร็ว พอรู้ตัวอีกที ก็ถึงกำหนดกลับบ้านตอนอีสเตอร์แล้ว (แต่ปีนี้ยังไม่ได้กำหนดเวลากลับ)
 
กลับบ้านแทบจะทุกสงกรานต์เลย เหอๆ แรกๆ ก็เพราะว่าตอนซัมเมอร์ กว่าจะได้กลับบ้านก็กลางๆ ก.ค. เสียบ่อยๆ เพราะต้องไปขุด
แต่ตอนนี้…กลับบ้านเพราะคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงปู่ย่ายาย ญาติๆ
 
อารมณ์ของเขาก็คง…
สงกรานต์อยากให้ครบหน้าครบตา
เราไปทีไรเขาก็ยิ้มออกกัน
ไม่กลับเขาก็ไม่ได้ว่า แต่ปู่ก็ชอบเป็นห่วงทุกที
มีข่าวอะไรร้ายๆ จากทางอังกฤษก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
 
ตอนนี้…อากาศหน้าหนาวเริ่มหายไป
ฟ้าสีฟ้าใสๆ เริ่มออกมา แต่ดูจากเวบ BBC แล้ว ท่าทางมันจะยังหนาวอยู่แฮะ
 
แต่ได้เห็นฟ้าใสๆ บ้างก็ดีแล้ว ยังพอจะทำให้มองโลกในแง่บวกขึ้นมาได้บ้าง
ช่วงนี้งานเยอะจัง >_<~ ทั้ง essay ทั้งงานขาจรจากในคลาส (แว่วๆ ว่าจะมี debate อีก)
แล้วยังต้องพยายามอ่านๆๆๆ เพื่อหาหัวข้อ dissert และ หัวข้อ research ป.เอก (ซึ่งหนังสือที่ request ไว้ก็ไม่ได้ซักที ใจคอคนที่ยืมก่อนหน้ามันจะจ่ายค่าปรับไปตลอดอาทิตย์เลยเหรอ ไม่เข้าจายยยยยยย) ตอนนี้ไอเดียเริ่มเกาะกลุ่มนิดๆ เกือบจะเรียงตัวละ แต่ว่าต้องมีความรู้พื้นฐานเข้าไปก่อน
 
ตูจะได้เขียน proposal หวังว่าจะได้ offer และจะได้ทำเรื่องขอต่อทุนเสียที เฮ้อ…
 
อยากให้วันหนึ่งมี 36 ชั่วโมง
 
แต่อย่างน้อยก็ยังดีแหละนะ แค่มีแต่งานยุ่ง ไม่ได้เจ็บป่วย ไม่สบายอะไร
ช่วงนี้ชีวิตน่าเบื่อ เลยไม่ได้มาอัพบลอก -_- แหะๆ
 
รอให้อะไรยุ่งๆ ผ่านไปคงได้อัพมากกว่านี้นะจ๊า
Posted in Life | 1 Comment

Flat 5 Block A1 @ Wentworth

 ค่อนข้างดีใจที่ได้อยู่แฟลตหญิงล้วน…(แม้จะแอบเสียดายนิดๆ ที่ไม่มีหนุ่มๆ หลงมาให้ชื่นใจ) และดีใจมากๆ ที่สาวๆ แต่ละคนกุ๊กๆ กิ๊กๆ น่ารักมาก ตอนนี้เรามั่นใจว่า แฟลต 5 Block A1 เป็นแฟลตที่มีครัวสะอาดติดอันดับ top 5 แน่ๆ (เผลอๆ จะสะอาดที่สุดด้วยซ้ำ) ห้องครัวสุขสันต์มีคุณสมบัติดังนี้คือ
 
– ไม่ค่อยมีของวางทิ้งไว้ข้าง sink เพราะทุกคนล้างแล้วเช็ดเก็บเข้าตู้หมด จะมีก็มีน้อยมาก วางไว้แอบๆ ไม่รกหูรกตา ดูธรรมชาติดี
– พอถุงขยะเต็มก็ผลัดกันผูกปากเอาไปทิ้ง ไม่มีใครเกี่ยงใคร ไม่ปล่อยให้ครัวมีกลิ่น
– ทุกคนมีอุปกรณ์ครัวครบ ครัวนี้…มี baking tray มากกว่า 6 อัน (มีอย่างน้อยคนละอันอ้ะ) แต่ละคนมีหม้อมากกว่า 2 หม้อ กระทะมากกว่าคนละ 2 กระทะ
– น้ำยาล้างจานเรียงรายข้างอ่างล้างจาน 6 สี ผอลน้ำก็ 6 แบบ
– เวลา 6.00-7.00pm เป็นเวลา peak time สาวๆ จะอกมาทำครัวกันแทบทั้งนั้น โดบเฉพาะ โอโตเมะ สาวญี่ปุ่น แคทเธอรีน สาวจีน แคโรลินา สาวลูกครึ่งเปรู – สวีดิช และข้าพเจ้าเอง… คือ…ถ้าเราไม่ไปครัวเต่หรือครัวนก ครัวส้ม ก็ต้องมี 4 สาวอยู่แน่ๆ
– โต๊ะ และ ที่วางของเคลียร์เรียบร้อยทุกครั้ง พื้นก็ดูดฝุ่นให้ด้วย
 
เป็นแฟลตที่น่ารักมากเลยอ้ะ…แล้วแต่ละคนก็ไม่ค่อยดุด่ากัน พาเพื่อนมากินข้าวก็ไม่ว่า (เราพามาบ่อยนิ 😛 ) แต่ต้องหลบ peak time เสียหน่อยเท่านั้นเอง แล้วก็มีนัดกินข้าวด้วยกันเป็นพักๆ ชื่นใจๆ หน้าห้องเกือบทุกห้องก็จะมีป้ายชื่อตกแต่งมาติดไว้ แฟลตอื่นก็ไม่ค่อยเห็นใครจะทำหรอกนะ แต่แฟลตนี้เราเป็นคนเซต เทรนด์เอง แหะๆ พอดีมีป้ายเก่า ใช้มาหลายปีดีดักแล้ว วันนี้ก็ถึงโอกาส get together อีกทีแล้วค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำอาหารไทยเลี้ยงสาวๆ เพราะว่า พาเพื่อนมากินบ้อย ยึดครัวก็บ่อยครั้ง น่าจะได้ทำอะไรตอบแทนมั่ง แต่อยู่ดีๆ แฟลตเมตทั้งหลายก็อยากจะทำอาหารขึ้นมาซะงั้น เลยเกิดงาน International food night ขึ้น โปรแกรมอลังการที่วางไว้เลยหดหาย เพราะไม่งั้นจะกินไม่หมด ตกลงเมนูวันนี้ก็คือ
 
ข้าวเกรียบมโนราห์ ไก่สะเต๊ะ ข้าวผัดเครื่องเทศแบบอินเดีย พายผักโขมแบบสแปนิช Chinese dumpling ไก่เทอริยากิ (ช่างหลากหลายจริงๆ) ปิดท้ายด้วย เต้าฮวย ฟรุตสลัด (เดาได้ใช่ไหมล่ะฮะ ว่าน้องยิ้มขา ทำอะไรไปมั่ง) ใช่แล้ว ข้าพเจ้าทอดข้าวเกรียบ ทำไก่สะเต๊ะ แล้วก็เต้าฮวยนั่นเอง ลองทำอาจาดมั่วๆ ดู เอ…ไม่มีน้ำส้ม ใช้มะนาวแทนมันก็เหมือนอาจาดดีนะ
 
วันนี้งงๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว…เดินเข้าครัว โอโตเมะก็ยิ้มหวานให้เชียว แล้วก็บอกว่า แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะจ๊ะ…เอ…งง ๆ แต่ก็ยิ้มตอบกลับไป แต่เจ๊บอกว่าเจ๊แฮงก์โอเวอร์ ก็เลยปล่อยๆ ไป จริงๆ แล้ววันนี้เพื่อนๆ ก็บอกแล้วล่ะ ว่าเลี้ยงให้แทนวันเกิดเลยนะ แต่ก็คิดว่า อื่ม…ก็แค่ยกอาหารมารวมๆ กันเท่านั้น แต่พอนั่งกินปุ๊บ ลินดา แฟลตเมตที่ไม่ว่าง เพราะไปต่างเมืองก็ text มา แฮปปี้เบิร์ธเดย์อีก -_-" แถมเรียกเราว่าเบิร์ธเดย์ เกิร์ลด้วย ก็ชักทะแม่งๆ แล้วแคโรลิน่าก็เฉลยว่า เค้าจำผิดวันกัน…คิดว่าข้าพเจ้าเกิดวันที่ 21 มกรา ก็ แหะๆ ไม่เป็นไร เป็นโอกาสอันดีแล้ว ที่จะได้มารวมตัวกัน ตั้งใจจะรวมตัวกันมานานแล้วนี่นา แต่ว่าแต่ละคนก็ติดโน่นๆ นี่ๆ กันมาตลอด
 
 สรุปแล้ว…การอยู่ quiet Block ที่นี่ก็ไม่เลวร้ายเลย ถึงเค้าจะห้ามเล่นเครื่องดนตรี แต่พอเราเล่น โอโตเมะก็ไม่ว่าอะไร แหะๆ ชีว่า..ได้ยินแล้วคิดถึงพี่สาวที่เล่นอิเล็กโทนที่บ้าน ก็เลยโชคดีไป แล้วแฟลตนี้ก็เอื้ออาทรกันดี
 
โชคดีนะ…ได้มาอยู่ในที่ดีๆ
รู้สึกดีมากๆๆๆๆๆๆๆ เลยอ้ะ รู้สึกเหมือน…เป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่ได้เป้นแค่เพื่อนร่วมแฟลต
วันนี้พอกินเสร็จก็พูดกันเรื่องต่างๆ นาๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องประสบการณ์ส่วนตัว เรื่องผม เรื่องความงาม เรื่องทำอาหาร และแม้กระทั่งเรือ่งผี on campus (อันนี้แอบหลอนนิ แต่ว่าแคโรลินาเขาเด็กลูกหม้อ รู้เยอะดี)
 
ไม่รูว่าปีหน้าจะได้อยู่ที่ไหน อนาคตจะเป็นอย่างไรเลย…
ไม่รูว่าจะสมัครหอทันไหม (ก่อนอื่นคิดเรื่อง proposal ให้ตกก่อนเถอะเจ๊ อย่าทำกำแหงไปคิดเรื่องอื่น -_-")
ไม่ว่าจะเป็นยังไงกตาม ขอให้ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ อบอุ่น และสะอาดอย่างนี้ด้วยเถิด สาธุ….
 
Posted in Life | 1 Comment

Heritage…มันกลับมาอีกแย้ว >_<~

อาการนอนไม่หลับเพราะความคิดในหัวตีกัน มันเกิดขึ้นเมื่อเทอมก่อน จำได้ว่าตอนนั้นต้องมาบ่นในบลอก เพื่อช่วยให้นอนหลับ
อาการเดิมมันกลับมาอีกแล้ว กรี๊ดดดดด
บล๊อกนี้ก็เลยต้องกลับมามีสาระอีกครั้ง…เหอๆ ๆ มีรึเปล่า -_-" จริงๆ ก็ไม่รู้ เรียกได้ว่าเป็นคำบ่นที่เกี่ยวกับ โบราณคดีและมรดกทางวัฒนธรรมจะดีกว่า
 
วันนี้เพิ่งได้หนังสือเรียนที่ซุปเปอร์ไวเซอร์เป็นคนรวบรวม article ต่างๆ ไว้ มาจากห้องสมุด หลังจากจองไปนานมากกกก
อึ้งมาก…เล่มขนาด A5 เองฮ่ะ ปกแข็ง เล่มนี้มีราคา 500 กว่าปอนด์ (ตอนถือกลับนี่ รักษาสุดชีวิตเลย ซื้อเองไม่ได้ฮ่ะ ไม่มีปัญญา)
กำลังสงสัยว่าเวอร์ชั่นปกอ่อนจะออกมาอีกมั้ย ราคาจะลดลงมากหรือเปล่า (ดูจากราคาปกแข๋ง ปกอ่อนก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 200 เอิ๊ก ไม่ซื้อแล้ว ถ่ายเอกสารเอาดีกว่า)
ได้หนังสือเล่มนี้มาเราก็จะได้เริ่มอ่านๆ ๆ ๆ แล้วก็พยายามหา Research topic และ Dissertation topic ของ ป.โท ให้ได้เสียที หลังจากอ่านแบบหว่านแห มาเป็นอาทิตย์ (ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ความคิดอันเลื่อนลอยตีกันในหัว)
 
เปิดเทอมปุ๊บ…งานโครมลงมาบนหัวสามชิ้น (ไม่นับงานแปลที่ยังค้างเขาไว้อยู่ อ๊ากกก)
1. อ่าน ๆ ๆ เพื่อเขียน paper ส่ง อาจารย์บอกว่า ไม่ต้องซีเรียส ไม่เอาไปประเมิน แต่คะแนนจะปรากฏลงใน Transcript นะ โธ่เอ๊ย…แค่มันปรากฏก็เครียดแล้วค่ะ อาจารย์ขา
2. อ่าน ๆ ๆ เพื่อหาหัวข้อ PhD และ Dissertation ของปีนี้ ต้องพยายามหาให้สอดคล้องกัน เผื่อโชคดี จบภายในสามปี อะฮ้า ๆ
3. ไม่น่าเมลไปหา prof. ที่ควบคุมการฝึกงานเร็วเลย หงืด ๆ เจอต้องมาค้นคว้า เพื่อเลือกโปรเจคที่จะทำ และต้องการคำตอบภายใน 3 วัน แว้กๆ ๆ ๆ งานอื่นก็ยังค้างๆ อยู่เลยง่ะ เริ่มอยากเป็นทศกัณฑ์ มีสิบหน้า สิบหัว เพราะคงจะมี 10 สมอง เผื่อจะช่วยให้อ่านได้ไวขึ้น
 
ปีนี้ปี 2007 ปีของการยกเลิก  Slavery ครบรอบ 200 ปี พิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ 5 แห่งทั่งอังกฤษกำลังจัดนิทรรศการอยู่ (ละเราเองก็ต้องค้นคว้าเรื่องนี้ด้วย เฮ้อ…ปวดหัวตึ้บๆ ๆ สงสัยจะอยู่สบายมาหลายวัน กลับมาเจองานแล้วมึน @_@)
 
ในห้องเรียนวันนี้เจอการโต้เถียงอย่างดุเดือดอีกแล้ว
สนุกดี แต่แอบเก็บมาเครียดนี่อ่ะดิ…
มึน…
หนีไปหาไรเบาๆ ทำก่อนดีก่า…เอิ๊ก
 
 
 
Posted in Archaeology/history | Leave a comment

สวิตเซอร์แลนด์…แดนหมอกห้อมล้อมเทือกเขา

สวิตเซอร์แลนด์..แดนหมอกห้อมล้อมเทือกเขา

 

สวัสดีค่ะ ชาวชมรมคนโสดแสนสุข…ช่วงนี้เป็นช่วงปีใหม่ มีวันหยุดยาวประธานเลยมีโอกาสได้มาทำสาส์นส่งหาสมาชิกอีกครั้งนะคะ วันนี้ประธานสัญญาว่าจะไม่ค่อนแคะหรือแอบกัดใครให้ต้องมากินแหนงแคลงใจ เพราะว่า ความตั้งใจของประธานก็คือการสรรสร้างงานเขียนที่มีสาระแก่ผู้อ่าน ดังนั้น…ประธานเลยคิดว่าประธานจะทำสารคดีท่องเที่ยวค่ะ สารคดีท่องเที่ยวใสๆ บริสุทธิ์ ไม่มีโรมงซ์ โรแมนซ์เจือปนเล้ยยยย (ก็จะมีได้ยังไงล่ะคะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ก็นโยบายหลักของชมรมคนโสดแสนสุขก็คือชี้ทางสว่างให้พวกที่ตาบอดเพราะความรักได้เห็นสัจธรรมว่า รักใดประเสริฐเท่ารักจากบุพการีและกัลยาณมิตรนั้นไม่มี ดังนั้น…ประธานจึงจงใจทำให้เป็นสารคดีปลอดเรื่องรักเพราะว่ามันเป็นทริปที่ประเทืองปัญญา เต็มไปด้วยความรู้อัดแน่นนี่คะ) อ้า….สมาชิกอย่าเพิ่งอ้าปากหวอทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อแบบนั้น ถึงจะดูบ้าๆ บอๆ หน่อยๆ แต่ประธานที่รักของสมาชิกทั้งหลายก็ทำประโยชน์แก่สังคมได้ ไม่เหมือนพวกที่ชอบก่อความวุ่นวายวางระเบิดที่โน่นที่นี่ให้ปีใหม่ 2550 นี้ต้องวุ่นวาย สาวน้อยน่ารักอย่างประธานคงไม่มีอำนาจใดที่จะไประงับวินาศกรรมเหล่านั้นได้…แต่ประธานสาปแช่งได้ค่ะ ถึงไม่มีพริก ไม่มีเกลือมาเผาก็ขอให้ตัวการของความวุ่นวายครั้งนี้ไร้ซึ่งแผ่นดินจะเหยียบ และถ้ายังไม่หยุดอีกก็ขอให้จบชีวิตด้วยวิธีที่ร้ายแรงยิ่งกว่าธรณีสูบ  ถ้าเป็นผู้ชายก็ขอให้โดนไม้ป่าเดียวกันรุมกระทำชำเรา (ตายๆ ชักจะติดเรต ไม่ดีๆ เดี๋ยวเยาวชนอ่านไม่ได้)

 

เอาล่ะ มาเข้าเนื้อกันเลยดีกว่า…เมื่อประธานตั้งใจแล้วว่าจะทำสารคดีท่องเที่ยวประธานก็เลยแปลงกายเป็นแมลงซ่อนเร้นไปในกระเป๋าเดินทางของนักศึกษาจากประเทศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเดินทางไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ค่ะ เอ…จะบอกชื่อดีมั้ยเนี่ย…บอกเป็นนามสมมติก็แล้วกันนะคะ ประธานสมมติว่าสามสาวในทริปนี้ชื่อ ยิ้ม ส้ม และ นก ก็แล้วกัน (ไม่รู้จะเรียกว่า สาวๆ ดีหรือเปล่านะคะ ท่าทางดูขี้บ่นอย่างนี้…เรียกป้าท่าทางจะดีกว่า) ส่วนสองหนุ่ม หนึ่งไทย หนึ่งจีนที่ (หลวมตัว) มาร่วมทริปกับพวกป้าๆ ขี้บ่นพวกนี้ ขอสมมติว่าชื่อเม่นกับเจอรี่ และฝ่ายเจ้าบ้านที่รอรับพวกเราอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ มีนามสมมติว่านิกค่ะ

 

ประธานจะเขียนอย่างรวบรัดนิดหนึ่ง และใช้รูปประกอบไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าอยากดูเต็มๆ ก็เข้าไปดูอัลบั้มเต็มๆ ที่อยู่ติดๆ กันนี่ก็แล้วกัน ตอนแรกประธานตั้งใจจะเขียนเป็นวันๆ เหมือนไดอารี่ แต่ว่ามันคงจะย้อนไปย้อนมาชวนเวียนหัว เลยรวบยอดเอามาเขียนเป็นเมืองๆ ไปเลยดีกว่า ว่าเมืองไหนมีอะไรบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอแจ้งผู้อ่านไว้ก่อนนะคะ ว่าสมาชิกกรุปทัวร์กรุปนั้นพักที่บ้านของนิกที่โลซานค่ะ (แหม่…โชคดีจริงๆ เลยโชคดีนะป้าๆ และหนุ่มๆ ทั้งหลาย) แล้วทริปส่วนมากก็จะเป็น day trip ยกเว้นทริปที่ไปเมือง Chur เมืองน้ำแข็งพันปี (หมายถึงเมืองที่มีน้ำแข็งชั่วนาตาปีน่ะค่ะ)

 

Aigle & Montreux (20-12-06)

 

ขอข้ามโลซานไปเล่าเรื่องเมืองอื่นๆ ก็แล้วกันนะคะ เพราะว่าอะไรที่อยู่ใกล้ตัวมักจะได้รับการมองข้ามเสมอใช่มั้ยล่ะ กับคนพวกนี้ก็เหมือนกันล่ะ…เลยเดินทางไปเมือง Aigle (อ่านว่า แอ๊ก) และ Montreux (มองเทรอ) กันก่อน จากการแอบฟังท่านนิก ไกด์กิตติมศักดิ์ ที่เป็นนักเปียโนมืออันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประธานจับใจความได้ว่า Aigle เป็นเมืองเล็กๆ ที่น่าจะมีชื่อเสียงในด้านการทำไวน์ และไวน์ดีๆ ที่นี่ราคาหลายสิบฟรังก์เลยทีเดียว คงจะเป็นเมืองที่ต้องคนท้องถิ่นเท่านั้นถึงจะรู้จริงๆ นะ เพราะว่าเปิดหาใน Lonely Planet ยังไม่เจอเลย

 

มองเห็นปราสาทอยู่ลิบๆ ข้างหน้านี้คือ Vinyard สวนองุ่นทำไวน์นะค้า

นี่อ่ะค่ะ ปราสาท หน้าต่างเล็กๆ ดูตันๆ 

 

เมื่อไปถึงก็พบว่า…อ้าว ปราสาทมันปิดนี่นา แต่สมาชิกทัวร์ก็ไม่เห็นจะว่าอะไร (อาจจะเพราะ 1.เกรงใจไกด์  2.มัวแต่ถ่ายรูปเพลิน เลือกเชื่อถือเหตุผลข้อ 1 และ 2 ได้ตามใจชอบ) ต้องรอให้เจ้าบ้านเตือนอีกครั้ง ปราสาทมันปิดนะเหล่าป้าๆ ถึงจะเริ่มรู้สึกตัว เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ อ้าว ปิดเหรอ

 

ตกลง…ปิดหรือไม่ปิดก็ไม่เป็นไร (ได้ถ่ายรูปแล้วนี่ ไม่แตกต่างกันหรอก) เข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้ ก็ไปขึ้นป้อมปราการรอบๆ ปราสาทแทน ท่านนิกก็บอกอีกว่า กำแพงที่มันดูตัน ๆ มีหน้าต่างอันกระจิ๊ดดดดด เดียวนี่แหละ ให้ผลทางด้านยุทธศาสตร์ชะงัดนัก เพราะว่าศัตรูโจมตียาก แต่ฝ่ายที่อยู่ข้างในยิงธนูออกไปจากรูพวกนี้ได้ง่ายนิ๊ดดดเดียว  ก็จริงของเขาเนอะ จะเน้น ‘Form’ ไปทำไม ในเมื่อมันก็มีประโยชน์ด้าน ‘Function’ ขนาดนี้ ประธานเลยอยากจะเตือนคุณหนูสาวๆ นะคะ ว่าถ้าเลือกแต่หนุ่มรูปหล่อ ได้คนบ่มิไก๊ ไร้น้ำยา หยิบหย่งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ อีกประการหนึ่งคือ ผู้อ่านคะ…ประธานว่าศิลปะแบบสวิสที่มันดูแข็งๆ อยู่เหมือนกันนะ เหมือนเอาอิฐ ปูนมาฉาบๆ เน้นความเรียบแต่หนัก ดูมีเสน่ห์แปลกๆ ไปอีกแบบ ประธานอยากรู้จังเลยนะคะ ว่าผู้ชายสวิสจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า หุหุ ดูเข้มแข็งๆ แต่ดึงดูดใจ (ยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ค่ะ เลยตอบไม่ได้)

 

แล้วคณะทัวร์ก็นั่งรถไฟกลับมาเมือง Montreux ป้ายิ้มบ่นพึมๆ ว่าทำไมมันดูคุ้นๆ ที่แท้ป้าแกก็เคยมาแล้วนี่เอง คนแก่ก็อย่างนี้แหละ มาแล้วแต่ว่าดันจำชื่อเมืองไม่ได้ นี่ยังดีนะ…ว่าจำชื่อปราสาทได้ เลยพอจะนึกออกมาเคยมาแล้ว เป็นอุทาหรณ์นะคะ เด็กๆ ว่าการเขียนไดอารี่เนี่ยก็มีประโยชน์นะ อะไรจะสามารถยืนยันได้ล่ะ ว่าแก่ตัวมาความจำคุณจะยังแจ่มแจ๋วเหมือนสมัยยามเยาว์วัย

 

ปราสาทนี้ชื่อ Châteaux de Chillon นะคะ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟออกไป 3 กิโลเมตร “3 กิโลเมตรเอง เด็กๆ ใครๆ ก็พูดอย่างนั้น และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ทว่า…แชะ แชะ แชะ…เสียงลั่นชัตเตอร์ดังไปตลอดทางเลยค่ะ คุณผู้อ่าน กว่าจะไปถึงปราสาทได้ก็บ่ายแก่ๆ ปราสาทเจียนจะปิดอยู่แล้ว โชคยังดีที่เขานับเวลาเข้า ไม่ได้กำหนดเวลาออก คณะทัวร์คณะนี้เลยเอ้อระเหยอยู่ข้างในได้อีกนาน

 

 

นี่ค่ะ รูปสมาชิกทั้งหลาย เม่นหายไป แปลว่าเป็นคนถ่าย ลิบๆ ข้างหลังโน้นนน คือปราสาทที่บอกนะคะ

ประธานว่า…จุดที่ประธานชอบที่สุดในปราสาทนี้นะคะ คือห้องขังนักโทษใต้ดินน่ะค่ะ มันมืดๆ ทึมๆ หนาวๆ เย็นๆ แต่มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่มีลูกกรงแน่นหนา มันเหมือนกับว่า…ในความท้อแท้ หดหู่ เหนื่อยยาก ก็ยังมีแสงเรืองๆ แห่งความหวังเสมอ แล้ววันหนึ่ง…เราก็จะหลุดออกจากพันธนาการที่กำลังรัดรึงเอาไว้ ทั้งทางกาย…และทางจิตใจ ณ ที่นั้น…ที่ที่ผืนฟ้าและแผ่นน้ำหลอมรวมเป็นหนึ่ง (เอ่อ…Welcome to Romantic mode ของประธานนะคะ)

ป้ายิ้ม…มองอะไร..

 

พอตกเย็นก็เดินกลับ…เขาว่ากันว่าขากลับมักจะดูเร็วว่าขามาเสมอเพราะว่าคุ้นเคยกับทางแล้ว ก็มีส่วนถูกนะคะ แต่ประธานว่า…สำหรับคณะนี้ มันเร็วเพราะว่าฟ้ามืดค่ะ ฟ้ามืดเลยถ่ายรูปไม่ (ค่อย) ได้ ก็เลยเดินได้ค่อนข้างเร็ว แหะๆ

ระหว่างทางกลับก็มีคาสิโนค่ะ อูยยย ประธานไม่อยากเขียนเล่าเลย ผู้ปกครองกรุณาอยู่กับเยาวชนตอนอ่านด้วยนะคะ จะได้มีคนดูแลและคอยเหนี่ยวรั้ง เผื่อเห็นตากลมๆ ของเด็กจะกระตุ้นความรู้สึกผิดชอบได้ ผีพนันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ วันนี้สมาชิกอันได้แก่ท่านนิกเจ้าบ้าน ลูลู่ เพื่อนท่านนิก (นามสมมติเหมือนกัน 😛) และนายเจอรี่ได้ทดลองเล่นสลอธแมชชีนกัน ก็มีทั้งได้ๆ เสียๆ ไปตามเรื่อง เจอรี่โชคดีหน่อยได้มา 100 ฟรังก์ ลงทุนไป 50 ยังได้กำไร! ดีนะที่พี่ท่านหยุดได้ ถ้าหน้ามืดเล่นต่อไปอาจจะเสียจนหมด เพราะคิดว่าจะได้ๆ ๆ  และนั่นก็คือความน่ากลัวของการพนัน (ประธานไม่ค่อยจะมีความรู้สึกนั้นหรอก เล่นทีไรเสียหมดทุกที -_- จำเขาบอกๆ มา)

 

หลังจากเล่นคาสิโนแล้วก็มีกิจกรรมเอาใจผู้ใหญ่หัวใจเด็ก ชิงช้าสวรรค์นั่นเอง ประธานเคยไปนั่งที่เคมบริดจ์ รู้สึกมันจะวนอยู่ 2 รอบแล้วลง ที่นี่เราได้ขึ้นๆ ลงๆ ประมาณ 5 รอบในราคา 5 ฟรังค์  ก็โอเคนะ…วิวสวย โรแมนติกดีด้วย มองเห็นทั้งดาวบนฟ้าและดาวบนดิน (แสงไฟริมทะเลสาบ) เออ…สมาชิกท่านไหนได้มาอยู่ตรงนี้ต้องอยากออกจากชมรมคนโสดแสนสุขแน่ๆ (แต่แอบได้ยินป้ายิ้มบ่นว่าหิวข้าว อารมณ์โรแมนติกเลยไม่บังเกิด เหอๆ ๆ ดีมาก เป็นสมาชิกที่ซื่อสัตย์จริงๆ อย่างนี้สงสัยจะได้อยู่ประดับชมรมอีกนาน)

 

อาหารเย็นวันนี้คือ อาหารจาก Christmas Market อาหารพื้นเมืองแบบสวิสแท้ๆ ดีๆ ๆ ๆ ได้สัมผัสรสชาติอาหารแบบแปลกๆ แต่กว่าสมาชิกทัวร์จะซื้อได้ก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศสจนเมื่อยมือ…แหงสิ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไงคะท่านผู้อ่าน พูดภาษาเขาก็ไม่ได้ ก็ต้องพูดปะกิดปนภาษามือเยี่ยงนี้แหละ ระบบที่นี่หรือก็แปลก ต้องดูว่าอยากซื้ออะไรแล้วก็ไปซื้อคูปองมาให้ราคาพอดี แล้วค่อยกลับคูปองไปยื่น เออ…ยังโชคดีนะ ที่ได้กินกัน ตัวอย่างอาหารก็เช่นไส้กรอก, Leek ดอง, สตูว์ไก่ใส่ครีม (ดูคล้ายๆ แกงอินเดีย) และ Rosti ซึ่งเป็นมันฝรั่งเส้นๆ ผัดกับชีส (ได้ข่าวว่าร้าน Betty’s ที่ยอร์คจานนึงราคาแตะ 10 ปอนด์) บรรยากาศของตลาดคริสต์มาสนี่…น่ารักมากเลยค่ะ ถ้าประธานเป็นนักเขียนนิยายรัก…ประธานจะเขียนให้คู่รักมางอนง้อกันแถวๆ นี้ เพราะมีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ชิงช้าสวรรค์ ทะเลสาบ แสงไฟ ภูเขา ปราสาท ครบเซ็ต อ้า…แต่ว่าช่วงนี้อารมณ์อยากเขียนเรื่องแนวฆาตรกโรคจิตน่ะ เลยมองข้ามความสวยงามไปหน่อย

 

จบแล้วค่ะสำหรับเมืองนี้

 

 

Bern-Basel-Neuchatel (21/22-12-06)

 

เที่ยวสามเมืองในหนึ่งวันเลยเหรอ!! ต้องมีคนตกใจแน่ๆ เลย หุ หุ หุ ประธานยังไม่เฉลยตอนนี้หรอก อ่านต่อไปเรื่อยๆ สิ แล้วคุณจะค้นพบว่า…คณะทัวร์คณะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

 

นิกเคยบอกเอาไว้แล้วในวันแรกว่า เราพูดได้แต่ภาษาฝรั่งเศสนะ พอไปเขตเยอรมันเราก็ แบ๊ะ ๆ เหมือนกันก็นะ ประเทศเขาเล่นพูดตั้ง 3 ภาษา นักท่องเที่ยวที่พูดได้แต่ภาษาปะกิดก็แย่น่ะสิ วันนี้จุดมุ่งหมายคือ Basel และ Bern ซึ่งเป็นเขตที่พูดภาษาเยอรมัน

นิกฟังเยอรมันออกมั้ยป้ายิ้มถามขึ้น ด้วยคงจะหวังว่าพูดไม่ได้แต่ก็น่าจะฟังออก

ไม่อ้ะหุ หุ หุ คงสนุกแล้วล่ะ ท่านผู้อ่าน

 

Basel เป็นเมืองใหญ่ ที่ดูโบราณๆ มีทั้งความคึกคัก วุ่นวายปะปนกับความเก่าและขลัง ถ้าท่านใดเคยไปเยือนเบลเยียม…ประธานขอนำเสนอ Ghent นะคะ คล้ายๆ กันนั่นแหละค่ะ คุณจะได้เห็นโบสถ์กอธิกเก่าๆ เคียงคู่กับสายรถรางได้ด้วยการกวาดสายตาเพียงแค่ครั้งเดียว คณะทัวร์คณะนี้เลือกวิธีเดินชมเมืองค่ะ แหม่…ก็เมืองแถบยุโรปนี้ส่วนมากมันก็เดินได้แหละเนอะ ไม่รู้สายรถรางนั่งไปก็หลง แถมการเดินยังทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้สังเกตอะไรไปอย่างช้าๆ มีเวลาซึมซับบรรยากาศได้ดีกว่าด้วย

 

จุดแรกที่แวะชมก็คือโบสถ์ St. Elizabeth ก็สวยดี แต่ก็เหมือนโบสถ์อื่นๆ ทั่วๆ ไป หลังจากนั้นก็เดินตัดไปชมน้ำพุกลางเมือง ซึ่งเป็นรูปเครื่องจักรต่างๆ แม่เจ้า!!! น้ำแข็งเกาะตรงน้ำพุ….นี่มันหนาวขนาดไหนกันเนี่ย ก็เลยหลบลงหนาวไปกินเครปเป็นอาหารกลางวันแล้วหนีเข้าพิพิธภัณฑ์ซึ่งดัดแปลงมาจากโบสถ์เก่าๆ ขนาดใหญ่โต (น่าจะเรียกมหาวิหารหรือ Cathedral มากกว่านะ) ซึ่งเต็มไปด้วยข้อความภาษาเยอรมัน -_- อยากจับตัวคนสร้างมาอบรมคอร์ส Museum and Interpretation กับป้ายิ้มจริงๆ เลยค่ะ นอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ข้อความเยอะแล้ว ยังไม่มีภาษาสากลเลยแม้แต่น้อย มีหนังสือให้มาอ่านเล่มหนาๆ เล่มหนึ่งซึ่งอารมณ์คนมาเที่ยวก็คงไม่อยากอ่านหรอกนะ

น้ำพุที่เป้นน้ำแข็งไปน่ะค่ะ น้ำเลยไม่ค่อยพุ่งเลย 

 

เนื่องจากใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์เสียนานมาก สถานที่ต่อไปอันได้แก่ Townhall สีแดงสดใสและ Munster (เหมือนกะ Minster, Monastery ในภาษาอังกฤษแหละค่า) จึงเป็นการชมเพียงปราดเดียว (และถ่ายรูปอีก 3-4 แชะ) เพื่อที่ว่าจะได้ออกเดินทางไป Bern ได้ทันเวลา จะได้ดูหมีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองได้ก่อนตะวันตกดิน ซึ่งคงจะเป็นไปได้ยากค่ะคุณขา…ก็ท้องฟ้าหน้าหนาวมันเล่นมืดตั้งแต่ 4 โมงเลยน่ะสิคะ กว่าจะไปถึงหมีก็เข้านอนหมดแล้วล่ะมั้ง

 

Bern แปลว่า Bear กว่าคณะทัวร์คณะนี้จะมาถึง Bern ได้ Bear ก็หายลับกลับเข้าบ้านไปแล้ว…แต่สมาชิกก็ยังมองโลกในแง่ดี ถ่ายรูปกับเมืองยามกลางคืนโดยไม่เสียใจว่าหมีจะอยู่ที่ไหน ก็ดีนะคะ เป็นการมองโลกในแง่ดี จะได้ไม่เสียใจและผิดหวังถ้าสิ่งใดก็ตามไม่เป็นไปตามแผน

 

ดูดาวบนดินไปก่อนนะคะ สวยไปอีกแบบแหละ

 

หลังจากนั้น…ไกด์กิตติมศักดิ์ก็นำทางขึ้นไปที่ Rose Garden (ฟังดูอย่างกับสวนสามพรานบ้านเราเลยเนอะ แต่มันคือสวนกุหลาบจริงๆ ที่ไม่มีดอกให้เห็นแม้แต่ดอกเดียว ก็แหงล่ะ หน้าหนาวนี่ถ้ามีก็ผีหลอกแล้ว) การเดินขึ้นที่สูงนี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของร่างกายจริงๆ ค่ะ ใครเดินรั้งท้ายอย่าให้ประธานนินทาเลยค่ะ หุหุ วิวจากเบื้องสูงสวยมากค่ะ เห็นเลยว่าเมืองถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำที่โค้งจนเป็นรูปตัวยู (ประชากรจากเมืองผู้ดีโปรดนึกถึงเมือง Durham ยามอ่านมาถึงตรงนี้) หลังจากนั้น สมาชิกบางท่านก็ลืมไปอีกแล้ว ว่าพ้นการบรรลุนิติภาวะมาได้หลายปีดีดัก กลับไปเล่นเครื่องเล่นเด็กในสนามเด็กเล่นเสียอย่างนั้น แต่ก็แปลกดีนะ…คนเราทุกคนมีแง่มุมของความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอ แล้วมันก็พร้อมที่จะเผยออกมาให้คนอื่นได้เห็น แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ต้องการก็ตาม แล้วเมื่อไหร่ที่คนเราจะมีวุฒิภาวะเต็มที่ล่ะ เออ…ประธานก็ตอบไม่ได้เหมือนกันแหละ เพราะถ้าประธานเห็นสนามเด็กเล่น ประธานก็วิ่งเข้าหาเป็นอันดับแรกเหมือนกัน -__-

 

ถึงจะไม่ได้เห็นหมี แต่การได้ชมเมืองก็สร้างความบันเทิงใจให้แก่สมาชิกได้ไม่น้อย หลังจากนั้นจึงเป็นเวลาแห่งการช้อปปิ้ง ถนนที่ตรงออกมาจากสถานีรถไฟยาวเป็นกิโลๆ สองข้างทางเป็นร้านค้าเต็มไปหมด แต่ว่า (โชคยังดีที่) ร้านบางร้านปิดไปแล้ว (เลยไม่สูญเสียเวลามากเท่าไหร่) ในที่สุด…สมาชิกทั้งหลายก็เดินเตาะแตะมาถึงร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ อร่อยที่สุดในสวิสตามคำบอกเล่าของเจ้าบ้าน คุณขา…ประธานล่ะเห็นใจทุกคนจริงๆ เลยค่ะ เพราะว่าพอไปถึงโต๊ะก็เต็มเพียบแทบทุกโต๊ะแล้ว แถมดูท่าทางแต่ละคนที่นั่งอยู่ก็ยังค่อยๆ ละเลียดตัดพิซซาเข้าปากทีละคำๆ บ้างก็นั่งจิบกาแฟอย่างใจเย็น

 

คุณผู้อ่านคะ รู้ไหมคะว่าประธานเกลียดอะไรที่สุดในชีวิต…ประธานเกลียดการรอคอยค่ะ ยิ่งการรอคอยอย่างไม่มีจุดหมาย (เช่นคอยการลงจากคาน) ยิ่งทรมาน แต่ว่าแต่ละคนก็ดูมีน้ำอด น้ำทนดี (จริงๆก็ไม่ทุกคนหรอกนะคะ มีคนแอบฮึดฮัดๆ เหมือนกัน แต่แกล้งบรรยายให้สวยหรูๆ หน่อยว่าทุกคนใจเย็นราวกับน้ำแข็ง จะได้ดูเหมือนเป็นคณะทัวร์ที่ราบรื่น มีสไตล์) รอมานานแสนนานนนนน น้านนนน จนกระทั่งพนักงานเห็นใจเอาแชมเปญมาเสิร์ฟเป็นของกำนัล คุณผู้อ่านลองคิดดูสิ….ท้องว่างๆ กับแชมเปญ…เหอๆ ๆ ในที่สุดความฝันอันเลื่อนลอยก็เป็นจริง ในที่สุดก็ได้โต๊ะตอนสามทุ่มกว่าๆ และนั่นก็ทำให้หนุ่มๆ สาวๆ พวกนี้นั่งรถไฟกลับไปโลซานช้ากว่าที่คาดเอาไว้ และเพราะความล่าช้ากว่ากำหนดการนี่แหละ…ที่ทำให้เกิดเรื่องราวระทึกขวัญขึ้น

 

เรื่องราวเริ่มจากขบวนรถไฟที่นั่งไปนั้นเป็นรถไฟที่ต้องเปลี่ยนที่ Neuchatel เพื่อต่อรถอีกคันเพื่อไป Lausanne ฟังดูง่ายๆ ใช่ไหม แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ฮ่าๆ ๆ เพราะรถคันที่นั่งไปมันแบ่งออกเป็นสองตอน ตอนแรกตรงไปที่ Neuchatel และตอนหลังจะแยกขบวนออกไป Murten อะไรสักอย่าง ไม่รู้จักชื่อ ทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมันหมดเลย ดังนั้น…เมื่อรู้ตัว รถตอนหน้าที่ไป Neuchatel ก็ออกไปแล้ว…และมันก็เป็นขบวนสุดท้ายของวันด้วย ไม่มีรถไปโลซานอีกแล้ว ดังนั้น…จึงมีสองทางเลือก

1.      นอนที่เมือง Kerzers ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

2.      กลับไปที่ Bern รอรถขบวนแรกของวันถัดไปแล้วกลับโลซาน

ดูเหมือนว่าทุกคนจะตัดสินใจที่จะนอนค้างที่นั่นก่อน อ่า…ก็คงจะมีพวกแอบหวังลึกๆ อยู่บ้างเช่น

1.      หวังว่าจะหาห้องคู่ได้ 3 ห้อง จะได้มีชายหนึ่ง หญิงหนึ่งที่ต้องมาแชร์ห้องกัน สวีท สวีท สวีท โดยไม่ตั้งใจ

2.      หวังว่าห้องจะเต็มหมดต้องนอนสถานีหรือข้างถนน หรือไม่ก็มีห้องว่างแค่ห้องเดียวต้องยัดกัน 6 คน หรือไม่ก็ต้องไปนอนโรงนาแล้วเจอฆาตรกรโรคจิต เพราะฟังดู extreme ดี เอาไปเป็นพลอตนิยายขายได้แน่ๆ

ใครจะแอบคิดอะไรประธานก็ไม่รู้…ไม่รู้ รู้แต่ว่าบรรยากาศเมืองนี้ตอนกลางคืนเหมือนเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ที่ผู้กำกับหนังฆาตรก่รต่อเนื่องเขาชอบใช้เป็นโลดคชั่นในการถ่ายทำน่ะค่ะ อ้า…ถ้าใครเคยดู House of Wax กรุณานึกถึงภาพยนตร์เรื่องนั้นนะคะ (อ่อ…นึกแค่เมืองนะ อย่านึกถึงปารีส ฮิลตัน สาวผมบลอนด์ หุ่นสะบึม เพราะดูๆ มาแล้วไม่เห็นมีใครได้เศษเสี้ยวเจ๊สักคน แหะๆ)

 

หลังจากเดินหาโรงแรมอยู่พักใหญ่ๆ ท่ามกลางความหนาวเย็น ก็มาถึงโรงแรมชื่อ Hippel โชคดีที่ได้ห้องมา 2 ห้อง แยกหญิงชายได้พอดี ประธานก็เลยแฝงกายไปกับกลุ่มสาวๆ จริงๆ กฌอยากเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องหนุ่มๆ เหมือนกัน แต่กลัวจะอดใจไม่ไหว เข้าห้องสาวๆ ดีกว่า…(เลยได้มีโอกาสรับรู้ว่า มีคนบางคนแอบเปิดดู Adult Channel จนดึกดื่น ดูอะไรไม่ดูนะคะ คุณผู้อ่าน ดูช่องหญิงรักหญิงค่ะ เฮ้อ…เดาได้ไหมล่ะว่าเป็นใคร ฮา… ไม่บอกหลอกให้เดาเล่นๆ)

 

Geneva (22-12-06)

ประธานขอข้ามเมือง Neuchatel ไป Geneva เลยก็แล้วกันนะ เพราะว่า…ถึง Lonely Planet จะใส่ชื่อเมืองนี้ไว้ว่าเป็นเมืองสำคัญมีชื่อสำหรับ Cross country skiing แต่ประธานก็ไม่ยักกะเห็นว่ามันดูหญ่โต หรือสวยงามเท่าไหร่เลย (หรือว่าจะมองเมืองที่รูปลักษณ์ภายนอกมากไป??) ดังนั้นทุกๆ คนเลยตกลงใจจะซักแห้ง ขามไปเจนีวาเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา (อ่า…อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้อาบน้ำที่โรงแรมก่อนเลยไม่เน่าไปมากกว่านี้)

 

เจนีวามีอะไร…อ่า…ประธานก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันมีอะไร เพราะว่าไปไหนๆ อะไรก็ปิดหมดเลย น้ำพุ Jet d’eau ที่เป็นไฮไลต์ของเมืองก็ไม่มี เพราะวันนั้นลมแรงเกินไป และ UN ก็ปิดด้วยนะคะ ได้ไปเดินดู Botanical Garden ที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ อ่า…ฟังแล้วก็แอบคิดถึงเนื้อเพลงท่อนสั้นๆ ทั้งที่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับบริบทเลย Seasons may change, winter to spring.

But I love you, until the end of time…   (แหะๆ นอกเรื่องจริงๆ)

 

จินตนาการว่า…ด้านหลังมีน้ำพุ Jet d’aeu สูง ๆ ละกันนะคะ

สรุปง่ายๆ ว่ามันมีที่ช้อปปิ้ง พวกร้านของที่ระลึก ร้านนาฬิกา ร้านอุปกรณ์ยังชีพพวกมีดพก กรรไกร กระติกน้ำ (ซึ่งดึงดูดเวลาไปได้มากมายเลยทีเดียว)

เหล็กในสวิสเป็นเหล็กที่ดีที่สุดเหรอ ประธานก็ไม่รู้เหมือนกัน มีมีดพกแบบ Swiss army knife ยี่ห้อ Victorinox อยู่อันหนึ่งก็ยังไม่เห็นมันเป็นสนิมเสียที ทั้งที่ไม่ได้ถนอมมันเท่าไหร่ ใช้มาประมาณ 4 ปีก็ยังขาวมันวาว (มีฝุ่นเกาะเล็กน้อย สภาพยังดีมากถ้าเทียบกับมีดพกอีกอันของจีนแดงที่สนิมเกาะและน้อตที่ยึดระหว่างมีดกับปลอกก็หลวมโคลงเคลงตั้งแต่เมื่อซื้อมาได้ไม่กี่เดือนแล้ว) อ้อ…มีข้อสนับสนุนถึงความแกร่งของเหล็กในสวิสอีกข้อด้วย คุณผู้อ่านเคยดู Armageddon ไหมคะ ภาพยนตร์ที่มีดาวเคราะห์น้อยหรืออุกกาบาตนี่แหละ กำลังจะแล่นเข้าชนโลก ทีมพระเอกและพ่อนางเอกต้องขึ้นยานอวกาศไปเจาะดาวหางเพื่อใส่ระเบิดแล้วจุดระเบิดให้มันเปลี่ยนทิศทางการโคจร ตอนนั้น…หัวขุดเจาะของเขาติดตรา Victorinox หราเลยค่ะ ของเค้าดีจริงๆ เอ…หรือว่ามันเป็นเรื่องของการตลาด ถ้าอย่างนั้น…เหล็กน้ำพี้ มีดอรัญญิกบ้านเรา ถ้าทำบรรจุภัณฑ์ดีๆ ออกแบบให้เก๋ๆ ไม่ใช่ทำแค่มีดปังตอหรือมีดยาวแบบที่เป็นอยู่นี้ จะพอสู้ได้สูสีมั้ยน้อออออ น่าคิดเนอะ

 

ไม่มีอะไรตื่นเต้นมากไปกว่านี้…เพราะว่า…ต้องรีบกลับบ้านกัน วันถัดไปต้องไปตะลุย Zermatt ข้ามชอตไปเล่าเรื่องเมืองนั้นเลยดีกว่า

 

 

ป.ล. 1 รอติดตามตอนต่อไปอีกสักพักนะ

ป.ล. 2 มาถึงตอนนี้ใครยังไม่รู้จักชมรมคนโสดแสนสุขยกมือขึ้น ประธานจะได้ชี้แจงแถลงไขว่ามันคืออะไร อ่อ…ถ้าลองไปที่ http://www.geocities.com/yimpyim เจอสาส์นเก่าๆ จากประธาน ก็คงพอจะรู้ ว่าชมรมนี้ตั้งเพื่ออะไร นะคะ ไว้จะหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้มาให้ทีหลัง
 
 
ชิ่งก่อนละ
Posted in Travel | Leave a comment

เสียงกระซิบจากน้ำค้างแข็ง

แสงแรกของวันทาทาบอาบขอบฟ้าที่ทิศตะวันออก
ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จากสีม่วงอ่อน…กลายเป็นสีชมพู จนกลายเป็นสีส้มและคงจะกลายเป็นประกายสีทองไปในที่สุด

แสงที่งดงาม และคงจะเป็นที่เฝ้ารอของหลายๆ คน
แต่ฉันรู้…นับแต่วินาทีที่แสงนั้นปรากฏขึ้น…เวลาของฉันใกล้จะมาถึงแล้ว
ผู้คนอาจจะคิดว่าฉันสวยงาม แต่ความสวยงามนั้นมันช่างสั้นเหลือเกิน
สวยงาม…แต่จับต้องไม่ได้ เพราะทันทีที่คุณแตะต้องฉัน ฉันจะละลายหายไป

แล้วฉันจะอยู่เพื่ออะไร

คุณเคยเห็นน้ำค้างแข็งอย่างฉันไหม…
ถ้าเคยเห็น…คุณเคยสนใจ และใส่ใจฉันบ้างไหม
ทุกๆ ยามเช้าของวันที่อากาศเย็น ฉันจะรอคุณอยู่บนเส้นหญ้า บนใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น บนกิ่งไม้ที่ไร้ใบ
โอบกอดสิ่งเหล่านั้นไว้ด้วยใจรัก และหวังว่าประกายสีเงินของฉันจะช่วยแต่งแต้มโลกนี้ให้สวยงาม รอให้มีคนมาชื่นชม

เมื่อฟ้าเป็นสีฟ้า
ประกายวาววามของน้ำค้างแข็ง…คงจะช่วยสะท้อนให้แววสีฟ้านั้นเกิดขึ้นบนตัวของฉัน
สะท้อนให้รู้ว่า…
วันนี้เธอดูสดใสดีจังเลยนะท้องฟ้า แต่ฉันคงจะอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ไม่นาน
เมื่อแสงสีทองมาถึง ฉันคงต้องจากไป
ขอให้เธอมีความสุขกับดวงอาทิตย์ในช่วงเวลาที่เหลือนะจ๊ะ

วันใดที่ท้องฟ้าเป็นสีเทา หม่นเศร้า
วันนั้นฉันจะอยู่ได้นานเป็นพิเศษ
ฉันจะอยู่เพื่อคอยปลอบประโลม…เป็นเพื่อนท้องฟ้า
อย่าเสียใจไปเลยนะ…แม้วันนี้จะไม่มีดวงอาทิตย์แต่ฉันก็ยังอยู่ อยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอ…จนกว่าแสงอันอบอุ่นจะกลับมาอีกครั้ง

แต่ฉันจะเป็นที่ต้องการจริงๆ ของใครไหมนะ

ฉันเกิดขึ้น…และอยู่ได้ด้วยความหนาวเย็น

ความหนาวเย็นที่ไม่เป็นที่ปรารถนาของคนหลายคน
ความหนาวเย็นที่ทำให้หัวใจเย็นชาและสิ้นไร้ความรู้สึก
ความหนาวเย็นที่ดูดกลืนสีสัน และความมีชีวิตชีวาของฤดูร้อนไปจนหมดสิ้น
ความหนาวเย็น…ที่ทำให้กิจกรรมหรรษาอย่างการเดินเล่นในท้องทุ่งกว้างท่ามกลางดอกไม้สีเหลืองสดใสต้องหยุดลง

ฉันอยู่คู่กับความหนาวเย็นอย่างนี้
จะมีผู้คนรอคอยฉันอย่างตั้งใจจริงบ้างไหม…
จะมีใคร คิดถึงท้องทุ่งสีเงินประหนึ่งจะถูกโปรยปรายด้วยสะเก็ดเพชรพลอยบ้างไหม

หรือฉันจะเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…และดับไป
มีคนชื่นชมเมื่อ ‘มีอยู่’ …แต่ไม่มีใครคิดถึงเมื่อ ‘ไม่อยู่’

เป็นเพียงสิ่ง "จรรโลงตา" ชั่วคราว แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ "จรรโลงใจ" ของใครๆ

ประกายแดดสีทองอาบไล้ทั่วท้องทุ่งอีกแล้ว 
สัญญาณแห่งความอบอุ่นกำลังจะมาถึง…
ตัวฉันกำลังจะละลาย…
ท้องทุ่งสีเงินกำลังจะหายไป
ท้องทุ่งสีเขียวกำลังจะกลับมา

กลับมาพร้อมกับสายลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ…

อา…

ฉันคงต้องจากไปอีกแล้วสินะ
จะมีใครคิดถึงฉันบ้างไหม..

จะมีประโยชน์อะไรที่พร่ำร้อง
ในเมื่อเสียงกระซิบของฉันก็เป็นเพียงเสียงเพรียกจากน้ำค้างแข็งที่ไม่มีวันที่ใครจะได้ยิน

และเมื่อดวงตะวันส่องฉาย
น้ำค้างแข็งก็จะละลายหายไป…ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่เหลือแม้เพียงรอยเก่า…แห่งความทรงจำ

นี่คือชีวิตของฉัน…น้ำค้างแข็ง

 

 ป.ล. ขอติดคำบรรยายทริปไปสวิสไว้ก่อนนะจ๊ะ เกือบเสร็จละ

Posted in Poetry | 1 Comment