สวิตเซอร์แลนด์..แดนหมอกห้อมล้อมเทือกเขา
สวัสดีค่ะ ชาวชมรมคนโสดแสนสุข…ช่วงนี้เป็นช่วงปีใหม่ มีวันหยุดยาวประธานเลยมีโอกาสได้มาทำสาส์นส่งหาสมาชิกอีกครั้งนะคะ วันนี้ประธานสัญญาว่าจะไม่ค่อนแคะหรือแอบกัดใครให้ต้องมากินแหนงแคลงใจ เพราะว่า ความตั้งใจของประธานก็คือการสรรสร้างงานเขียนที่มีสาระแก่ผู้อ่าน ดังนั้น…ประธานเลยคิดว่าประธานจะทำสารคดีท่องเที่ยวค่ะ สารคดีท่องเที่ยวใสๆ บริสุทธิ์ ไม่มีโรมงซ์ โรแมนซ์เจือปนเล้ยยยย (ก็จะมีได้ยังไงล่ะคะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ก็นโยบายหลักของชมรมคนโสดแสนสุขก็คือชี้ทางสว่างให้พวกที่ตาบอดเพราะความรักได้เห็นสัจธรรมว่า รักใดประเสริฐเท่ารักจากบุพการีและกัลยาณมิตรนั้นไม่มี ดังนั้น…ประธานจึงจงใจทำให้เป็นสารคดีปลอดเรื่องรักเพราะว่ามันเป็นทริปที่ประเทืองปัญญา เต็มไปด้วยความรู้อัดแน่นนี่คะ) อ้า….สมาชิกอย่าเพิ่งอ้าปากหวอทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อแบบนั้น ถึงจะดูบ้าๆ บอๆ หน่อยๆ แต่ประธานที่รักของสมาชิกทั้งหลายก็ทำประโยชน์แก่สังคมได้ ไม่เหมือนพวกที่ชอบก่อความวุ่นวายวางระเบิดที่โน่นที่นี่ให้ปีใหม่ 2550 นี้ต้องวุ่นวาย สาวน้อยน่ารักอย่างประธานคงไม่มีอำนาจใดที่จะไประงับวินาศกรรมเหล่านั้นได้…แต่ประธานสาปแช่งได้ค่ะ ถึงไม่มีพริก ไม่มีเกลือมาเผาก็ขอให้ตัวการของความวุ่นวายครั้งนี้ไร้ซึ่งแผ่นดินจะเหยียบ และถ้ายังไม่หยุดอีกก็ขอให้จบชีวิตด้วยวิธีที่ร้ายแรงยิ่งกว่าธรณีสูบ ถ้าเป็นผู้ชายก็ขอให้โดนไม้ป่าเดียวกันรุมกระทำชำเรา (ตายๆ ชักจะติดเรต ไม่ดีๆ เดี๋ยวเยาวชนอ่านไม่ได้)
เอาล่ะ มาเข้าเนื้อกันเลยดีกว่า…เมื่อประธานตั้งใจแล้วว่าจะทำสารคดีท่องเที่ยวประธานก็เลยแปลงกายเป็นแมลงซ่อนเร้นไปในกระเป๋าเดินทางของนักศึกษาจากประเทศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเดินทางไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ค่ะ เอ…จะบอกชื่อดีมั้ยเนี่ย…บอกเป็นนามสมมติก็แล้วกันนะคะ ประธานสมมติว่าสามสาวในทริปนี้ชื่อ ยิ้ม ส้ม และ นก ก็แล้วกัน (ไม่รู้จะเรียกว่า ‘สาวๆ’ ดีหรือเปล่านะคะ ท่าทางดูขี้บ่นอย่างนี้…เรียกป้าท่าทางจะดีกว่า) ส่วนสองหนุ่ม หนึ่งไทย หนึ่งจีนที่ (หลวมตัว) มาร่วมทริปกับพวกป้าๆ ขี้บ่นพวกนี้ ขอสมมติว่าชื่อเม่นกับเจอรี่ และฝ่ายเจ้าบ้านที่รอรับพวกเราอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ มีนามสมมติว่านิกค่ะ
ประธานจะเขียนอย่างรวบรัดนิดหนึ่ง และใช้รูปประกอบไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าอยากดูเต็มๆ ก็เข้าไปดูอัลบั้มเต็มๆ ที่อยู่ติดๆ กันนี่ก็แล้วกัน ตอนแรกประธานตั้งใจจะเขียนเป็นวันๆ เหมือนไดอารี่ แต่ว่ามันคงจะย้อนไปย้อนมาชวนเวียนหัว เลยรวบยอดเอามาเขียนเป็นเมืองๆ ไปเลยดีกว่า ว่าเมืองไหนมีอะไรบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอแจ้งผู้อ่านไว้ก่อนนะคะ ว่าสมาชิกกรุปทัวร์กรุปนั้นพักที่บ้านของนิกที่โลซานค่ะ (แหม่…โชคดีจริงๆ เลยโชคดีนะป้าๆ และหนุ่มๆ ทั้งหลาย) แล้วทริปส่วนมากก็จะเป็น day trip ยกเว้นทริปที่ไปเมือง Chur เมืองน้ำแข็งพันปี (หมายถึงเมืองที่มีน้ำแข็งชั่วนาตาปีน่ะค่ะ)
Aigle & Montreux (20-12-06)
ขอข้ามโลซานไปเล่าเรื่องเมืองอื่นๆ ก็แล้วกันนะคะ เพราะว่าอะไรที่อยู่ใกล้ตัวมักจะได้รับการมองข้ามเสมอใช่มั้ยล่ะ กับคนพวกนี้ก็เหมือนกันล่ะ…เลยเดินทางไปเมือง Aigle (อ่านว่า แอ๊ก) และ Montreux (มอง–เทรอ) กันก่อน จากการแอบฟังท่านนิก ไกด์กิตติมศักดิ์ ที่เป็นนักเปียโนมืออันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประธานจับใจความได้ว่า Aigle เป็นเมืองเล็กๆ ที่น่าจะมีชื่อเสียงในด้านการทำไวน์ และไวน์ดีๆ ที่นี่ราคาหลายสิบฟรังก์เลยทีเดียว คงจะเป็นเมืองที่ต้องคนท้องถิ่นเท่านั้นถึงจะรู้จริงๆ นะ เพราะว่าเปิดหาใน Lonely Planet ยังไม่เจอเลย
มองเห็นปราสาทอยู่ลิบๆ ข้างหน้านี้คือ Vinyard สวนองุ่นทำไวน์นะค้า
นี่อ่ะค่ะ ปราสาท หน้าต่างเล็กๆ ดูตันๆ
เมื่อไปถึงก็พบว่า…อ้าว ปราสาทมันปิดนี่นา แต่สมาชิกทัวร์ก็ไม่เห็นจะว่าอะไร (อาจจะเพราะ 1.เกรงใจไกด์ 2.มัวแต่ถ่ายรูปเพลิน เลือกเชื่อถือเหตุผลข้อ 1 และ 2 ได้ตามใจชอบ) ต้องรอให้เจ้าบ้านเตือนอีกครั้ง “ปราสาทมันปิดนะ” เหล่าป้าๆ ถึงจะเริ่มรู้สึกตัว เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ “อ้าว ปิดเหรอ”
ตกลง…ปิดหรือไม่ปิดก็ไม่เป็นไร (ได้ถ่ายรูปแล้วนี่ ไม่แตกต่างกันหรอก) เข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้ ก็ไปขึ้นป้อมปราการรอบๆ ปราสาทแทน ท่านนิกก็บอกอีกว่า กำแพงที่มันดูตัน ๆ มีหน้าต่างอันกระจิ๊ดดดดด เดียวนี่แหละ ให้ผลทางด้านยุทธศาสตร์ชะงัดนัก เพราะว่าศัตรูโจมตียาก แต่ฝ่ายที่อยู่ข้างในยิงธนูออกไปจากรูพวกนี้ได้ง่ายนิ๊ดดดเดียว ก็จริงของเขาเนอะ จะเน้น ‘Form’ ไปทำไม ในเมื่อมันก็มีประโยชน์ด้าน ‘Function’ ขนาดนี้ ประธานเลยอยากจะเตือนคุณหนูสาวๆ นะคะ ว่าถ้าเลือกแต่หนุ่มรูปหล่อ ได้คนบ่มิไก๊ ไร้น้ำยา หยิบหย่งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ อีกประการหนึ่งคือ ผู้อ่านคะ…ประธานว่าศิลปะแบบสวิสที่มันดูแข็งๆ อยู่เหมือนกันนะ เหมือนเอาอิฐ ปูนมาฉาบๆ เน้นความเรียบแต่หนัก ดูมีเสน่ห์แปลกๆ ไปอีกแบบ ประธานอยากรู้จังเลยนะคะ ว่าผู้ชายสวิสจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า หุหุ ดูเข้มแข็งๆ แต่ดึงดูดใจ (ยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ค่ะ เลยตอบไม่ได้)
แล้วคณะทัวร์ก็นั่งรถไฟกลับมาเมือง Montreux ป้ายิ้มบ่นพึมๆ ว่าทำไมมันดูคุ้นๆ ที่แท้ป้าแกก็เคยมาแล้วนี่เอง คนแก่ก็อย่างนี้แหละ มาแล้วแต่ว่าดันจำชื่อเมืองไม่ได้ นี่ยังดีนะ…ว่าจำชื่อปราสาทได้ เลยพอจะนึกออกมาเคยมาแล้ว เป็นอุทาหรณ์นะคะ เด็กๆ ว่าการเขียนไดอารี่เนี่ยก็มีประโยชน์นะ อะไรจะสามารถยืนยันได้ล่ะ ว่าแก่ตัวมาความจำคุณจะยังแจ่มแจ๋วเหมือนสมัยยามเยาว์วัย
ปราสาทนี้ชื่อ Châteaux de Chillon นะคะ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟออกไป 3 กิโลเมตร “3 กิโลเมตรเอง เด็กๆ ” ใครๆ ก็พูดอย่างนั้น และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ทว่า…แชะ แชะ แชะ…เสียงลั่นชัตเตอร์ดังไปตลอดทางเลยค่ะ คุณผู้อ่าน กว่าจะไปถึงปราสาทได้ก็บ่ายแก่ๆ ปราสาทเจียนจะปิดอยู่แล้ว โชคยังดีที่เขานับเวลาเข้า ไม่ได้กำหนดเวลาออก คณะทัวร์คณะนี้เลยเอ้อระเหยอยู่ข้างในได้อีกนาน
นี่ค่ะ รูปสมาชิกทั้งหลาย เม่นหายไป แปลว่าเป็นคนถ่าย ลิบๆ ข้างหลังโน้นนน คือปราสาทที่บอกนะคะ
ประธานว่า…จุดที่ประธานชอบที่สุดในปราสาทนี้นะคะ คือห้องขังนักโทษใต้ดินน่ะค่ะ มันมืดๆ ทึมๆ หนาวๆ เย็นๆ แต่มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่มีลูกกรงแน่นหนา มันเหมือนกับว่า…ในความท้อแท้ หดหู่ เหนื่อยยาก ก็ยังมีแสงเรืองๆ แห่งความหวังเสมอ แล้ววันหนึ่ง…เราก็จะหลุดออกจากพันธนาการที่กำลังรัดรึงเอาไว้ ทั้งทางกาย…และทางจิตใจ ณ ที่นั้น…ที่ที่ผืนฟ้าและแผ่นน้ำหลอมรวมเป็นหนึ่ง (เอ่อ…Welcome to Romantic mode ของประธานนะคะ)
ป้ายิ้ม…มองอะไร..
พอตกเย็นก็เดินกลับ…เขาว่ากันว่าขากลับมักจะดูเร็วว่าขามาเสมอเพราะว่าคุ้นเคยกับทางแล้ว ก็มีส่วนถูกนะคะ แต่ประธานว่า…สำหรับคณะนี้ มันเร็วเพราะว่าฟ้ามืดค่ะ ฟ้ามืดเลยถ่ายรูปไม่ (ค่อย) ได้ ก็เลยเดินได้ค่อนข้างเร็ว แหะๆ
ระหว่างทางกลับก็มีคาสิโนค่ะ อูยยย ประธานไม่อยากเขียนเล่าเลย ผู้ปกครองกรุณาอยู่กับเยาวชนตอนอ่านด้วยนะคะ จะได้มีคนดูแลและคอยเหนี่ยวรั้ง เผื่อเห็นตากลมๆ ของเด็กจะกระตุ้นความรู้สึกผิดชอบได้ ผีพนันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ วันนี้สมาชิกอันได้แก่ท่านนิกเจ้าบ้าน ลูลู่ เพื่อนท่านนิก (นามสมมติเหมือนกัน 😛) และนายเจอรี่ได้ทดลองเล่นสลอธแมชชีนกัน ก็มีทั้งได้ๆ เสียๆ ไปตามเรื่อง เจอรี่โชคดีหน่อยได้มา 100 ฟรังก์ ลงทุนไป 50 ยังได้กำไร! ดีนะที่พี่ท่านหยุดได้ ถ้าหน้ามืดเล่นต่อไปอาจจะเสียจนหมด เพราะคิดว่าจะได้ๆ ๆ และนั่นก็คือความน่ากลัวของการพนัน (ประธานไม่ค่อยจะมีความรู้สึกนั้นหรอก เล่นทีไรเสียหมดทุกที -_- จำเขาบอกๆ มา)
หลังจากเล่นคาสิโนแล้วก็มีกิจกรรมเอาใจผู้ใหญ่หัวใจเด็ก ชิงช้าสวรรค์นั่นเอง ประธานเคยไปนั่งที่เคมบริดจ์ รู้สึกมันจะวนอยู่ 2 รอบแล้วลง ที่นี่เราได้ขึ้นๆ ลงๆ ประมาณ 5 รอบในราคา 5 ฟรังค์ ก็โอเคนะ…วิวสวย โรแมนติกดีด้วย มองเห็นทั้งดาวบนฟ้าและดาวบนดิน (แสงไฟริมทะเลสาบ) เออ…สมาชิกท่านไหนได้มาอยู่ตรงนี้ต้องอยากออกจากชมรมคนโสดแสนสุขแน่ๆ (แต่แอบได้ยินป้ายิ้มบ่นว่าหิวข้าว อารมณ์โรแมนติกเลยไม่บังเกิด เหอๆ ๆ ดีมาก เป็นสมาชิกที่ซื่อสัตย์จริงๆ อย่างนี้สงสัยจะได้อยู่ประดับชมรมอีกนาน)
อาหารเย็นวันนี้คือ อาหารจาก Christmas Market อาหารพื้นเมืองแบบสวิสแท้ๆ ดีๆ ๆ ๆ ได้สัมผัสรสชาติอาหารแบบแปลกๆ แต่กว่าสมาชิกทัวร์จะซื้อได้ก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศสจนเมื่อยมือ…แหงสิ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไงคะท่านผู้อ่าน พูดภาษาเขาก็ไม่ได้ ก็ต้องพูดปะกิดปนภาษามือเยี่ยงนี้แหละ ระบบที่นี่หรือก็แปลก ต้องดูว่าอยากซื้ออะไรแล้วก็ไปซื้อคูปองมาให้ราคาพอดี แล้วค่อยกลับคูปองไปยื่น เออ…ยังโชคดีนะ ที่ได้กินกัน ตัวอย่างอาหารก็เช่นไส้กรอก, Leek ดอง, สตูว์ไก่ใส่ครีม (ดูคล้ายๆ แกงอินเดีย) และ Rosti ซึ่งเป็นมันฝรั่งเส้นๆ ผัดกับชีส (ได้ข่าวว่าร้าน Betty’s ที่ยอร์คจานนึงราคาแตะ 10 ปอนด์) บรรยากาศของตลาดคริสต์มาสนี่…น่ารักมากเลยค่ะ ถ้าประธานเป็นนักเขียนนิยายรัก…ประธานจะเขียนให้คู่รักมางอนง้อกันแถวๆ นี้ เพราะมีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ชิงช้าสวรรค์ ทะเลสาบ แสงไฟ ภูเขา ปราสาท ครบเซ็ต อ้า…แต่ว่าช่วงนี้อารมณ์อยากเขียนเรื่องแนวฆาตรกโรคจิตน่ะ เลยมองข้ามความสวยงามไปหน่อย
จบแล้วค่ะสำหรับเมืองนี้
Bern-Basel-Neuchatel (21/22-12-06)
เที่ยวสามเมืองในหนึ่งวันเลยเหรอ!! ต้องมีคนตกใจแน่ๆ เลย หุ หุ หุ ประธานยังไม่เฉลยตอนนี้หรอก อ่านต่อไปเรื่อยๆ สิ แล้วคุณจะค้นพบว่า…คณะทัวร์คณะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
นิกเคยบอกเอาไว้แล้วในวันแรกว่า “เราพูดได้แต่ภาษาฝรั่งเศสนะ พอไปเขตเยอรมันเราก็ แบ๊ะ ๆ เหมือนกัน” ก็นะ ประเทศเขาเล่นพูดตั้ง 3 ภาษา นักท่องเที่ยวที่พูดได้แต่ภาษาปะกิดก็แย่น่ะสิ วันนี้จุดมุ่งหมายคือ Basel และ Bern ซึ่งเป็นเขตที่พูดภาษาเยอรมัน
“นิกฟังเยอรมันออกมั้ย” ป้ายิ้มถามขึ้น ด้วยคงจะหวังว่าพูดไม่ได้แต่ก็น่าจะฟังออก
“ไม่อ้ะ” หุ หุ หุ คงสนุกแล้วล่ะ ท่านผู้อ่าน
Basel เป็นเมืองใหญ่ ที่ดูโบราณๆ มีทั้งความคึกคัก วุ่นวายปะปนกับความเก่าและขลัง ถ้าท่านใดเคยไปเยือนเบลเยียม…ประธานขอนำเสนอ Ghent นะคะ คล้ายๆ กันนั่นแหละค่ะ คุณจะได้เห็นโบสถ์กอธิกเก่าๆ เคียงคู่กับสายรถรางได้ด้วยการกวาดสายตาเพียงแค่ครั้งเดียว คณะทัวร์คณะนี้เลือกวิธีเดินชมเมืองค่ะ แหม่…ก็เมืองแถบยุโรปนี้ส่วนมากมันก็เดินได้แหละเนอะ ไม่รู้สายรถรางนั่งไปก็หลง แถมการเดินยังทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้สังเกตอะไรไปอย่างช้าๆ มีเวลาซึมซับบรรยากาศได้ดีกว่าด้วย
จุดแรกที่แวะชมก็คือโบสถ์ St. Elizabeth ก็สวยดี แต่ก็เหมือนโบสถ์อื่นๆ ทั่วๆ ไป หลังจากนั้นก็เดินตัดไปชมน้ำพุกลางเมือง ซึ่งเป็นรูปเครื่องจักรต่างๆ แม่เจ้า!!! น้ำแข็งเกาะตรงน้ำพุ….นี่มันหนาวขนาดไหนกันเนี่ย ก็เลยหลบลงหนาวไปกินเครปเป็นอาหารกลางวันแล้วหนีเข้าพิพิธภัณฑ์ซึ่งดัดแปลงมาจากโบสถ์เก่าๆ ขนาดใหญ่โต (น่าจะเรียกมหาวิหารหรือ Cathedral มากกว่านะ) ซึ่งเต็มไปด้วยข้อความภาษาเยอรมัน -_- อยากจับตัวคนสร้างมาอบรมคอร์ส Museum and Interpretation กับป้ายิ้มจริงๆ เลยค่ะ นอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ข้อความเยอะแล้ว ยังไม่มีภาษาสากลเลยแม้แต่น้อย มีหนังสือให้มาอ่านเล่มหนาๆ เล่มหนึ่งซึ่งอารมณ์คนมาเที่ยวก็คงไม่อยากอ่านหรอกนะ
น้ำพุที่เป้นน้ำแข็งไปน่ะค่ะ น้ำเลยไม่ค่อยพุ่งเลย
เนื่องจากใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์เสียนานมาก สถานที่ต่อไปอันได้แก่ Townhall สีแดงสดใสและ Munster (เหมือนกะ Minster, Monastery ในภาษาอังกฤษแหละค่า) จึงเป็นการชมเพียงปราดเดียว (และถ่ายรูปอีก 3-4 แชะ) เพื่อที่ว่าจะได้ออกเดินทางไป Bern ได้ทันเวลา จะได้ดูหมีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองได้ก่อนตะวันตกดิน ซึ่งคงจะเป็นไปได้ยากค่ะคุณขา…ก็ท้องฟ้าหน้าหนาวมันเล่นมืดตั้งแต่ 4 โมงเลยน่ะสิคะ กว่าจะไปถึงหมีก็เข้านอนหมดแล้วล่ะมั้ง
Bern แปลว่า Bear กว่าคณะทัวร์คณะนี้จะมาถึง Bern ได้ Bear ก็หายลับกลับเข้าบ้านไปแล้ว…แต่สมาชิกก็ยังมองโลกในแง่ดี ถ่ายรูปกับเมืองยามกลางคืนโดยไม่เสียใจว่าหมีจะอยู่ที่ไหน ก็ดีนะคะ เป็นการมองโลกในแง่ดี จะได้ไม่เสียใจและผิดหวังถ้าสิ่งใดก็ตามไม่เป็นไปตามแผน
ดูดาวบนดินไปก่อนนะคะ สวยไปอีกแบบแหละ
หลังจากนั้น…ไกด์กิตติมศักดิ์ก็นำทางขึ้นไปที่ Rose Garden (ฟังดูอย่างกับสวนสามพรานบ้านเราเลยเนอะ แต่มันคือสวนกุหลาบจริงๆ ที่ไม่มีดอกให้เห็นแม้แต่ดอกเดียว ก็แหงล่ะ หน้าหนาวนี่ถ้ามีก็ผีหลอกแล้ว) การเดินขึ้นที่สูงนี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของร่างกายจริงๆ ค่ะ ใครเดินรั้งท้ายอย่าให้ประธานนินทาเลยค่ะ หุหุ วิวจากเบื้องสูงสวยมากค่ะ เห็นเลยว่าเมืองถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำที่โค้งจนเป็นรูปตัวยู (ประชากรจากเมืองผู้ดีโปรดนึกถึงเมือง Durham ยามอ่านมาถึงตรงนี้) หลังจากนั้น สมาชิกบางท่านก็ลืมไปอีกแล้ว ว่าพ้นการบรรลุนิติภาวะมาได้หลายปีดีดัก กลับไปเล่นเครื่องเล่นเด็กในสนามเด็กเล่นเสียอย่างนั้น แต่ก็แปลกดีนะ…คนเราทุกคนมีแง่มุมของความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอ แล้วมันก็พร้อมที่จะเผยออกมาให้คนอื่นได้เห็น แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ต้องการก็ตาม แล้วเมื่อไหร่ที่คนเราจะมีวุฒิภาวะเต็มที่ล่ะ เออ…ประธานก็ตอบไม่ได้เหมือนกันแหละ เพราะถ้าประธานเห็นสนามเด็กเล่น ประธานก็วิ่งเข้าหาเป็นอันดับแรกเหมือนกัน -__-
ถึงจะไม่ได้เห็นหมี แต่การได้ชมเมืองก็สร้างความบันเทิงใจให้แก่สมาชิกได้ไม่น้อย หลังจากนั้นจึงเป็นเวลาแห่งการช้อปปิ้ง ถนนที่ตรงออกมาจากสถานีรถไฟยาวเป็นกิโลๆ สองข้างทางเป็นร้านค้าเต็มไปหมด แต่ว่า (โชคยังดีที่) ร้านบางร้านปิดไปแล้ว (เลยไม่สูญเสียเวลามากเท่าไหร่) ในที่สุด…สมาชิกทั้งหลายก็เดินเตาะแตะมาถึงร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ ‘อร่อยที่สุดในสวิส’ ตามคำบอกเล่าของเจ้าบ้าน คุณขา…ประธานล่ะเห็นใจทุกคนจริงๆ เลยค่ะ เพราะว่าพอไปถึงโต๊ะก็เต็มเพียบแทบทุกโต๊ะแล้ว แถมดูท่าทางแต่ละคนที่นั่งอยู่ก็ยังค่อยๆ ละเลียดตัดพิซซาเข้าปากทีละคำๆ บ้างก็นั่งจิบกาแฟอย่างใจเย็น
คุณผู้อ่านคะ รู้ไหมคะว่าประธานเกลียดอะไรที่สุดในชีวิต…ประธานเกลียดการรอคอยค่ะ ยิ่งการรอคอยอย่างไม่มีจุดหมาย (เช่นคอยการลงจากคาน) ยิ่งทรมาน แต่ว่าแต่ละคนก็ดูมีน้ำอด น้ำทนดี (จริงๆก็ไม่ทุกคนหรอกนะคะ มีคนแอบฮึดฮัดๆ เหมือนกัน แต่แกล้งบรรยายให้สวยหรูๆ หน่อยว่าทุกคนใจเย็นราวกับน้ำแข็ง จะได้ดูเหมือนเป็นคณะทัวร์ที่ราบรื่น มีสไตล์) รอมานานแสนนานนนนน น้านนนน จนกระทั่งพนักงานเห็นใจเอาแชมเปญมาเสิร์ฟเป็นของกำนัล คุณผู้อ่านลองคิดดูสิ….ท้องว่างๆ กับแชมเปญ…เหอๆ ๆ ในที่สุดความฝันอันเลื่อนลอยก็เป็นจริง ในที่สุดก็ได้โต๊ะตอนสามทุ่มกว่าๆ และนั่นก็ทำให้หนุ่มๆ สาวๆ พวกนี้นั่งรถไฟกลับไปโลซานช้ากว่าที่คาดเอาไว้ และเพราะความล่าช้ากว่ากำหนดการนี่แหละ…ที่ทำให้เกิดเรื่องราวระทึกขวัญขึ้น
เรื่องราวเริ่มจากขบวนรถไฟที่นั่งไปนั้นเป็นรถไฟที่ต้องเปลี่ยนที่ Neuchatel เพื่อต่อรถอีกคันเพื่อไป Lausanne ฟังดูง่ายๆ ใช่ไหม แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ฮ่าๆ ๆ เพราะรถคันที่นั่งไปมันแบ่งออกเป็นสองตอน ตอนแรกตรงไปที่ Neuchatel และตอนหลังจะแยกขบวนออกไป Murten อะไรสักอย่าง ไม่รู้จักชื่อ ทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมันหมดเลย ดังนั้น…เมื่อรู้ตัว รถตอนหน้าที่ไป Neuchatel ก็ออกไปแล้ว…และมันก็เป็นขบวนสุดท้ายของวันด้วย ไม่มีรถไปโลซานอีกแล้ว ดังนั้น…จึงมีสองทางเลือก
1. นอนที่เมือง Kerzers ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
2. กลับไปที่ Bern รอรถขบวนแรกของวันถัดไปแล้วกลับโลซาน
ดูเหมือนว่าทุกคนจะตัดสินใจที่จะนอนค้างที่นั่นก่อน อ่า…ก็คงจะมีพวกแอบหวังลึกๆ อยู่บ้างเช่น
1. หวังว่าจะหาห้องคู่ได้ 3 ห้อง จะได้มีชายหนึ่ง หญิงหนึ่งที่ต้องมาแชร์ห้องกัน สวีท สวีท สวีท โดยไม่ตั้งใจ
2. หวังว่าห้องจะเต็มหมดต้องนอนสถานีหรือข้างถนน หรือไม่ก็มีห้องว่างแค่ห้องเดียวต้องยัดกัน 6 คน หรือไม่ก็ต้องไปนอนโรงนาแล้วเจอฆาตรกรโรคจิต เพราะฟังดู extreme ดี เอาไปเป็นพลอตนิยายขายได้แน่ๆ
ใครจะแอบคิดอะไรประธานก็ไม่รู้…ไม่รู้ รู้แต่ว่าบรรยากาศเมืองนี้ตอนกลางคืนเหมือนเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ที่ผู้กำกับหนังฆาตรก่รต่อเนื่องเขาชอบใช้เป็นโลดคชั่นในการถ่ายทำน่ะค่ะ อ้า…ถ้าใครเคยดู House of Wax กรุณานึกถึงภาพยนตร์เรื่องนั้นนะคะ (อ่อ…นึกแค่เมืองนะ อย่านึกถึงปารีส ฮิลตัน สาวผมบลอนด์ หุ่นสะบึม เพราะดูๆ มาแล้วไม่เห็นมีใครได้เศษเสี้ยวเจ๊สักคน แหะๆ)
หลังจากเดินหาโรงแรมอยู่พักใหญ่ๆ ท่ามกลางความหนาวเย็น ก็มาถึงโรงแรมชื่อ Hippel โชคดีที่ได้ห้องมา 2 ห้อง แยกหญิงชายได้พอดี ประธานก็เลยแฝงกายไปกับกลุ่มสาวๆ จริงๆ กฌอยากเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องหนุ่มๆ เหมือนกัน แต่กลัวจะอดใจไม่ไหว เข้าห้องสาวๆ ดีกว่า…(เลยได้มีโอกาสรับรู้ว่า มีคนบางคนแอบเปิดดู Adult Channel จนดึกดื่น ดูอะไรไม่ดูนะคะ คุณผู้อ่าน ดูช่องหญิงรักหญิงค่ะ เฮ้อ…เดาได้ไหมล่ะว่าเป็นใคร ฮา… ไม่บอกหลอกให้เดาเล่นๆ)
Geneva (22-12-06)
ประธานขอข้ามเมือง Neuchatel ไป Geneva เลยก็แล้วกันนะ เพราะว่า…ถึง Lonely Planet จะใส่ชื่อเมืองนี้ไว้ว่าเป็นเมืองสำคัญมีชื่อสำหรับ Cross country skiing แต่ประธานก็ไม่ยักกะเห็นว่ามันดูหญ่โต หรือสวยงามเท่าไหร่เลย (หรือว่าจะมองเมืองที่รูปลักษณ์ภายนอกมากไป??) ดังนั้นทุกๆ คนเลยตกลงใจจะซักแห้ง ขามไปเจนีวาเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา (อ่า…อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้อาบน้ำที่โรงแรมก่อนเลยไม่เน่าไปมากกว่านี้)
เจนีวามีอะไร…อ่า…ประธานก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันมีอะไร เพราะว่าไปไหนๆ อะไรก็ปิดหมดเลย น้ำพุ Jet d’eau ที่เป็นไฮไลต์ของเมืองก็ไม่มี เพราะวันนั้นลมแรงเกินไป และ UN ก็ปิดด้วยนะคะ ได้ไปเดินดู Botanical Garden ที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ อ่า…ฟังแล้วก็แอบคิดถึงเนื้อเพลงท่อนสั้นๆ ทั้งที่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับบริบทเลย Seasons may change, winter to spring.
But I love you, until the end of time… (แหะๆ นอกเรื่องจริงๆ)
จินตนาการว่า…ด้านหลังมีน้ำพุ Jet d’aeu สูง ๆ ละกันนะคะ
สรุปง่ายๆ ว่ามันมีที่ช้อปปิ้ง พวกร้านของที่ระลึก ร้านนาฬิกา ร้านอุปกรณ์ยังชีพพวกมีดพก กรรไกร กระติกน้ำ (ซึ่งดึงดูดเวลาไปได้มากมายเลยทีเดียว)
เหล็กในสวิสเป็นเหล็กที่ดีที่สุดเหรอ ประธานก็ไม่รู้เหมือนกัน มีมีดพกแบบ Swiss army knife ยี่ห้อ Victorinox อยู่อันหนึ่งก็ยังไม่เห็นมันเป็นสนิมเสียที ทั้งที่ไม่ได้ถนอมมันเท่าไหร่ ใช้มาประมาณ 4 ปีก็ยังขาวมันวาว (มีฝุ่นเกาะเล็กน้อย สภาพยังดีมากถ้าเทียบกับมีดพกอีกอันของจีนแดงที่สนิมเกาะและน้อตที่ยึดระหว่างมีดกับปลอกก็หลวมโคลงเคลงตั้งแต่เมื่อซื้อมาได้ไม่กี่เดือนแล้ว) อ้อ…มีข้อสนับสนุนถึงความแกร่งของเหล็กในสวิสอีกข้อด้วย คุณผู้อ่านเคยดู Armageddon ไหมคะ ภาพยนตร์ที่มีดาวเคราะห์น้อยหรืออุกกาบาตนี่แหละ กำลังจะแล่นเข้าชนโลก ทีมพระเอกและพ่อนางเอกต้องขึ้นยานอวกาศไปเจาะดาวหางเพื่อใส่ระเบิดแล้วจุดระเบิดให้มันเปลี่ยนทิศทางการโคจร ตอนนั้น…หัวขุดเจาะของเขาติดตรา Victorinox หราเลยค่ะ ของเค้าดีจริงๆ เอ…หรือว่ามันเป็นเรื่องของการตลาด ถ้าอย่างนั้น…เหล็กน้ำพี้ มีดอรัญญิกบ้านเรา ถ้าทำบรรจุภัณฑ์ดีๆ ออกแบบให้เก๋ๆ ไม่ใช่ทำแค่มีดปังตอหรือมีดยาวแบบที่เป็นอยู่นี้ จะพอสู้ได้สูสีมั้ยน้อออออ น่าคิดเนอะ
ไม่มีอะไรตื่นเต้นมากไปกว่านี้…เพราะว่า…ต้องรีบกลับบ้านกัน วันถัดไปต้องไปตะลุย Zermatt ข้ามชอตไปเล่าเรื่องเมืองนั้นเลยดีกว่า
ป.ล. 1 รอติดตามตอนต่อไปอีกสักพักนะ
ป.ล. 2 มาถึงตอนนี้ใครยังไม่รู้จักชมรมคนโสดแสนสุขยกมือขึ้น ประธานจะได้ชี้แจงแถลงไขว่ามันคืออะไร อ่อ…ถ้าลองไปที่ http://www.geocities.com/yimpyim เจอสาส์นเก่าๆ จากประธาน ก็คงพอจะรู้ ว่าชมรมนี้ตั้งเพื่ออะไร นะคะ ไว้จะหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้มาให้ทีหลัง
ชิ่งก่อนละ